วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วาทะ แกนนำ

เราเกิดบนผืนแผ่นดิน เราโตบนผืนแผ่นดิน เราก้าวเดินบนผืนแผ่นดิน
เมื่อเรายืนอยู่บนดิน เราจึงห่างไกลเหลือเกินจากท้องฟ้า
เมื่อเรายืนอยู่บนดิน เราต้องแหงนคอตั้งบ่า แล้วเราก็รู้ว่า ฟ้าอยู่ไกล
เมื่อเราอยู่บนดิน แล้วก้มหน้าลงมา เราจึงรู้ว่า เรามีค่าเพียงดิน
แต่ด้วยพลังของคนเสื้อแดง ที่มันจะมากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน
ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกนาที ทุกนาที ทุกนาที
แม้เรายืนอยู่บนผืนดิน แม้เราพูดอยู่บนผืนดิน แต่จะได้ยินถึงบนท้องฟ้า
เสียงไชโยโห่ร้อง ของเราในยามนี้ จากคนที่มีค่าเพียงดิน
จากคนที่เกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดิน จะได้ยินถึงบนท้องฟ้า แน่นอน
ข้า จะบอกดินบอกฟ้าว่า “คนอย่างข้าก็มีหัวใจ”
ข้า จะบอกดินบอกฟ้าว่า “ข้าก็คือคนไทย”
ข้า จะถามดินถามฟ้า“ว่าถ้าไม่มีที่ยืนที่สมคุณค่าจะให้ข้าหาที่ยืนเองหรืออย่างไร”

อยากให้พี่น้องได้แน่ใจ ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ ไม่ผิด
ว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทย
ว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่เป็นการรับจ้าง หรือ รับใช้ผลประโยชน์ทางการเมือง ของใคร
แต่สิ่งที่เราทำเพียงเพราะเราต้องการ “ประชาธิปไตย”
แล้วถามว่าเราทำไมต้องการประชาธิปไตย ประชาธิปไตยมันสำคัญอย่างไร
ก็มันสำคัญตรงที่ว่ามันเป็น “การปกครองของเรา”
ร่มเกล้าราชการที่ 7 ได้พระราชทานอำนาจมาโดยการร้องขอของประชาชน
ในกระนามคณะราษฎรแล้วหลังจากนั้นเราก็ เป็นประชาธิปไตยมาตลอด

เราจะไม่ลุกมาต่อสู้เลย
ถ้าประเทศนี้ประกาศว่า เป็น “อำมาตยาธิปไตย” มาตั้งแต่ต้น
เราจะไม่ลุกมาต่อสู้เลย
ถ้าประเทศนี้ไม่ประกาศหลอกผู้คนว่า ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย
ก็คุณเปิดเผยออกมา ว่าคุณต้องใหญ่ในประเทศนี้เพียงกลุ่มเดียว
คุณก็บอกมา ว่าประชาชนมันก็มีค่าเสมอไพร่
คุณก็บอกมา ว่าประชาชนมันเป็นเพียงก้อนอิฐก้อนดินที่คุณจะเหยียบย่ำ หรือจับวางตรงไหนก็ได้
ก็บอกมา ว่าประชาชนมันเป็นเพียงเศษหินเศษดิน ที่คุณจะเอาเป็นรากฐานของอำนาจให้คุณยิ่งใหญ่ตลอดไป
คุณก็บอกมา ว่าประชาชนไม่มีโอกาสจะเป็นใหญ่ในประเทศนี้ ในฐานะเจ้าของอำนาจ
แต่ถ้าคุณไม่พูด เราก็จะสู้.....

ที่ผ่านมาหัวใจประชาธิปไตยถูกเหยียบย่ำมามากแล้ว เราถูกเหยียบย่ำจนยับเยิน
แล้วจะมาเดินข้ามหัวเราไป แล้วก็บอกว่าให้สงบเพื่อสันติภาพ
คุณจะอุ้มคนกลุ่มหนึ่ง แล้วเหยียบหัวคนอีกกลุ่มหนึ่ง
แล้วหันไปถุยน้ำลายใส่หัวคนที่คุณเหยียบ แล้วบอกว่ามึงอย่าแหยมหน้ามานะ เพื่อสันติภาพ ถุย!..
ผมอยากจะบอกให้พวกคุณทราบ ว่าในผืนแผ่นดินนี้
หากไม่มีความยุติธรรม ก็ไม่ต้องถามหาคำว่าสันติภาพ..

เราจะชนะวันไหน ชนะเมื่อไหร่ไม่สำคัญ
แต่สิ่งหนึ่งจงภูมิใจ ที่ท่านเป็นส่วนหนึ่ง
ในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของประเทศไทย
รับภาระหนึ่ง โดยการกำอนาคตที่เลวร้ายของประเทศไทยไว้ แล้วนำมันไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
สู่อนาคตที่ดีกว่า เพื่อลูกหลานของเรา เพื่อประเทศไทยของเรา......


...ถึงเจ็บปวดนักหนาในวันนี้ .......
...ก็ไม่มีถ้อยคำจะพร่ำบน.........
...เพราะเชื่อมั่นบนศรัทราประชาชน...
...ว่าวันพรุ่งความจริงจะหวนคืน......

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ข้อเรียกร้องให้ขับพรรคประชาธิปัตย์จากสมาชิกภาพของสหพันธ์เสรีนิยมสากล

นาย Hans van Baalen, MEP

ประธานสหพันธ์เสรีนิยมสากล (the Liberal International)

cc:The Bureau of the Liberal International, International Officers of the Liberal International’s Full Members and Observer Members.

ลอนดอน, 30 สิงหาคม 2553

จดหมายเปิดผนึก

ข้อเรียกร้องให้ขับพรรคประชาธิปัตย์จากสมาชิกภาพของสหพันธ์เสรีนิยมสากล

เรียน Hans van Baalen ที่เคารพ,

สหพันธ์เสรีนิยมสากลกำหนดให้สมาชิกของสหพันธ์ยอมรับและปฏิบัติตามข้อ บัญญัติในแถลงการณ์เสรีนิยม 1947 คำประกาศแห่งกรุงออกซ์ฟอร์ด 1967 และข้อเรียกร้องเสรีนิยมแห่งโรม 1981 แต่หลายปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นสมาชิกเต็มมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติหรือแม้แต่ เชื่อมั่นในแนวทางเหล่านี้เหล่านี้แม้แต่น้อย และจากหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่เป็นปริปักษ์ต่อแนวทางเสรีนิยม ของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอยู่มากมาย เราจึงขอเรียกร้องให้สหพันธ์เสรีนิยมสากลขับพรรคประชาธิปัตย์ออกจาการเป็น สมาชิกภาพ

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้ขึ้นสู่อำนาจเมื่อเดือนธันวาคมปี 2551 โดยคำตัดสินของศาลที่พิพากษาให้การเลือกตั้งปีก่อนหน้านั้นเป็นโมฆะ พรรคได้ดำเนินการทำลายระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพการพูด สิทธิทางการเมืองและพลเรือน และนโยบายคุ้มครองชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย

ประการแรก พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำลายเสรีภาพแห่งการแสดงออกอย่างเป็นระบบ โดยการ

ก) ฟ้องร้องฝ่ายตรงข้ามโดยใช้กฎหมายอันกดขี่ เช่นกฎหมายอันเข้มงวดอย่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จะเห็นได้จากสถิติการดำเนินคดีเหล่านี้ ในปี 2552

ข) ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารทางเลือกอื่น รวมถึงสถานีทีวีฝ่ายตรงข้าม วิทยุชุมชนหลายสถานี

และเวปไซต์อีกกว่า50000 ถูกสั่งปิดโดยรัฐบาล

ประการที่สอง พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนการใช้ความรุนแรงและระบบศาลเตี้ยเพื่อกำจัดฝ่ายตรง ข้าม เป็นผลทำให้ประชาชนผู้ไม่มีอาวุธเสียชีวิตกว่าร้อยราย และบาดเจ็บอีกราวสองพันราย ตามรายงานข่าวของนักข่าวไร้พรมแดนกล่าวว่า ระหว่างการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ออก “ใบอนุญาตสังหาร” ให้กับกองทัพไทย เพื่อให้กองกำลังความมั่นคงใช้ในการ “หลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศและระบบกฎหมายไทยที่ปกป้อง ประชาชน”

ประการที่สาม Human right watch ได้กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นถึง “ พฤติกรรมที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนและระบบกฎหมายอย่างต่อเนื่อง” เมื่อไม่นานมานี้พรรคได้ใช้อำนาจเผด็จการผ่านทางกฎหมายที่ไม่ความชอบธรรม อย่างพ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อระงับสิทธิพลเรือนและสิทธิทารเมืองซึ่งเป็นสิทธิที่ ประกันไว้ในรัฐธรรมนูญ กระทำดังกล่าวเป็นการทำลายระบบนิติรัฐไม่ต่างจากการทำรัฐประหาร องค์การนิรโทษกรรมสากลประจำประเทศไทยได้กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้รองรับจุดประสงค์ของรัฐบาลที่ต้องการจะ “กดขี่ระบบกฎหมายและฝ่าตรงข้าม”

ประการที่สี่ พรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงความไม่ประสงค์ที่จะปกป้องสิทธิของชนกลุ่มน้อยที่ ถูกดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศเพื่อน ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาราว 500รายเสียชีวิตเพราะขาดน้ำและอาหาร หลังจากที่กองทัพไทยได้ผลักเรือที่ปราศจากเครื่องยนต์หรือเข็มทิศนำทางของ ชาวโรฮิงญาออกไปยังน่านน้ำทะเลสากล พรรคประชาธิปัตย์ยังละเมิดกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศด้วยการส่งผู้ลี้ ภัยทางเมืองชาวม้ง4000คนกลับไปยังประเทศลาวในปี 2552 ซึ่งเป็นประเทศที่พวกเขาถูกดำเนินคดีทางการเมืองและทรมานเมื่อถูกประชาคมโลก วิจารณ์ สมาชิกสภาราษฎรจากพรรคประชาธิปัตย์นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ กล่าวตอบโต้ว่าประเทศไทยไม่มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกระบวนของข้าหลวง ใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เพราะประเทศไทยไม่ได้ลงนามร่วมในสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ว่าด้วยการปกป้อง สิทธิของผู้ลี้ภัย

ประการที่ห้า พรรคมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อการยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลา 3เดือน และยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเป็นเวลา 1อาทิตย์ และการยั่วยุทำให้เกือบจะเกิดสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาในหลายครั้งตั้งแต่ปี 2551 นอกจากจะนิยมลัทธิคลั่งชาติ ต่อต้านแนวคิดแบบประชาธิปไตยแล้ว สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลายคนยังเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตร ภายใต้การนำรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำอันรุนแรงในความพยายามล้มรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง

เราอาจสามารถเข้าใจได้ว่าสหพันธ์เสรีนิยมสากลอาจจะยอมรับใน“ความหลากหลาย ของกลุ่มประเทศสมาชิก”ตามแนวทางเสรีนิยม โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่มีประชาธิปไตยเต็มใบ อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ประยุกต์ใช้ “เสรีนิยมกับความเป็นไทย” อันที่จริงแล้วพรรคได้กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

สหพันธ์เสรีนิยมสากลมีสมาชิกอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำลายความเป็น ประชาธิปไตย และรักษาอำนาจของตนด้วยการอาศัยการสนับสนุนจากกองทัพและสถาบันที่ไม่ได้มา จากการเลือกตั้งและยังปฏิเสธที่ความชอบธรรมของการเลือกตั้ง สหพันธ์เสรีนิยมสากลยังมีสมาชิกอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้นำรัฐบาลที่ มีการปิดกั้นข่าวสารอย่างหนักอย่าง มีระบบการดำเนินคดีกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองโดยการบิดเบือนกระบวนการทาง กฎหมาย และเพิกเฉยต่อสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองของประชาชน และสหพันธ์เสรีนิยมสากลมีสมาชิกอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนการผูกขาด ทางเศรษฐกิจทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นอกจากนี้พรรคยังใช้ภาษาที่ลดความเป็นมนุษย์ต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่าง เป็นปกติวิสัยและเพื่อจะสร้างความชอบธรรมในการกดขี่คนกลุ่มน้อย พรรคยังเลือกที่จะยอบรับการกระทำอันรุนแรงที่เหล่าผู้นำพรรคมีส่วนเกี่ยว ข้องโดยการร่วมมือกับองค์กรกึ่งเผด็จการฟาสซิสต์อย่างกลุ่ม

พันธมิตร

นอกจากจะห่างไกลจากการเป็นพรรค “เสรีนิยม” พรรคประชาธิปัตย์แห่งประเทศไทยยังเป็นศูนย์รวมของนโนบายต่อต้านประชาธิปไตย และเต็มไปด้วยแนวทางที่พรรคที่เชื่อมั่นในเสรียมอย่างแท้จริงในประเทศยุโรป และที่อื่นต่อต้านมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ เรา้เชื่อว่าสหพันธ์เสรีนิยมสากลจะไม่ยอมเสียชื่อเพราะมีพรรคที่ เป็น“ประชาธิปไตย”เพียงในนามเท่านั้นเป็นสมาชิก

เราได้แนบเอกสารทั้ง 23หน้าอธิบายถึงการกระทำและแนวทางความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นปริ ปักษ์ต่อแนวทางเสรีนิยม จากหลักฐานดังกล่าว เราขอเรียกร้องให้สหพันธ์เสรีนิยมสากลขับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากการเป็น สมาชิกอย่างเร่งด่วน เพราะการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์จะองค์การสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศประณาม สหพันธ์เสรีนิยมสากล กระทำของพรรคยังเป็นปริปักษ์ต่อนโยบายของสหพันธ์เสรีนิยมสากลที่พยายามเผล แพร่แนวทางเสรีนิยมทั่วโลก นอกจากนี้การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามจะกำจัดฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยัง คงอยู่ในช่วงดำเนินการ ดังนั้นการกดดันจากประชาคมโลกจะช่วยนำแนวทางเสรีนิยมประชาธิปไตยกลับมาสู่ ประเทศไทย

รายงาน Chatham Houseที่เขียนโดยอดีตเอกอัครราชทูตออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้ ได้กล่าวว่าประชาคมโลกควรจะร่วมกันกดดันรัฐบาลให้ยกเลิกการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การขี่ฝ่ายตรงข้ามอย่างเป็นระบบ และการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อที่จะนำไปสู่แนวทางปรองดองสมานฉันท์ของทั้งสองฝ่าย สหพันธ์เสรีนิยมสากลคือหนึ่งในองค์กรระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลที่จะกดดัน พรรคประชาธิปัตย์ และการกดดันดังกล่าวอาจจะช่วยนำแนวทางเสรีนิยมกลับสู่ประเทศที่ระบอบเสรี นิยมประชาธิปไตยกำลังถูกทำลาย


อ่านเพิ่มเติมที่ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม