วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

CNN กระชากหน้ากากสื่อไทย เนชั่น-บางกอกโพสต์ ตัดต่อภาพเพิ่มจำนวนเสื้อเหลือง-ชมพู

(ThailandMirror 17 เมษายน 2553 กรุงเทพฯ) - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริการข่าวพลเมือง หรือ iReport ของสำนักข่าว CNN ของสหรัฐอเมริกา รายงานว่าสื่อไทยกำลังปิดบังข้อเท็จจริง กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองและเสื้อชมพูที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ใน การแสดงพลังต่อต้านกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ภาพข่าวของสำนักข่าวไทยสองสำนัก อาทิ เนชั่น และ บางกอก โพสต์ ได้พยายามเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมโดยการตกแต่งภาพให้ผู้ชุมนุมมีจำนวนมากขึ้นโดย มีวัตถุประสงค์เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงว่า มีประชาชนจำนวนมากสนับสนุนรัฐบาล จากภาพในเครื่องแม่ข่ายของ CNN ที่ http://www.ireport.com/docs/DOC-433271 แสดงให้เห็นภาพก่อนและหลังการตกแต่งภาพ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพถ่ายจำนวนมากระบุว่า เรื่องดังกล่าวสร้างความเสื่อมเสียแก่สื่อไทยและรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก

ที่มา:Prachataiwebboard

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

People Channel ดูได้แล้ว (จานดำ)

People Channel  สามารถ ดูได้แล้วที่ ความถี่ขาลง=30520   Symbol Rate=02960   แนวการรับ=H
                                       และ  ความถี่ขาลง=03521   Symbol Rate=02950   แนวการรับ=H

อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เพราะมีการก่อกวนและการตัดสัญญาน

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

โฆษก ปชป. แพร่ภาพอ้างไอ้โม่งพกปืน 3 กระบอกพร้อมจู่โจม ที่แท้เป็นปืนไม่มีซองกระสุน

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์แพร่ภา
พอ้างไอ้โม่งพกปืนแสดงว่าเป็นการสะพายอาวุธเพื่อจู่โจมและโจมตีไม่ได้ถือไปคืนเจ้าหน้าที่ ขณะที่ตรวจสอบภาพพบเป็นปืนถอดซองกระสุนแล้ว อยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้ ด้านณัฐวุฒิแจงเป็นการ์ดยึดอาวุธทหารจะนำมามอบเวที

ภาพที่ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์นำมาชี้แจง โดยระบุว่าบุคคลในภาพสะพายอ
าวุธเพื่อใช้ในการจู่โจม เรียกว่าชุดห้อยข้างประจำกาย อาวุธแบคอัพ และอาวุธหลัก มิได้ถืออาวุธเพื่อที่จะไปคืน

์ด นปช. แบกปืนที่ยึดมาได้นำมาไว้ที่เวที โดยฉากหลังของภาพเป็นเวที นปช. ขณะที่ปืนอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งานเพราะถอดซองกระสุนทั้งหมด



เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานเมื่อวานนี้ (14 เม.ย. 53) ว่า นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวที่พรรคฯ ว่าเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมามีการก่อการร้ายโดยกองกำลังติดอาวุธ เป็นการสงครามไร้รูปแบบในเมืองและมีลักษณะเป็นกองโจรที่ข้าศึกไม่ได้อยู่ข้างหน้าแต่เป็นการจู่โจมจากด้านหลัง และด้านบน ทั้งในส่วนของการอาศัยแนวตั้งรับของกลุ่มประชาชนผู้ชุมนุมเป็นเกราะกำบัง

โดย นพ.บุรณัชย์ ได้นำภาพของชายสวมหมวกไหมพรมถือปืนมาแสดง และบรรยายว่า บุคคลดังกล่าวถืออาวุธในลักษณะที่มีอาวุธประจำกายถึง 3 ชิ้นด้วยกัน เป็นลักษณะของการสะพายอาวุธเพื่อใช้ในการจู่โจม และโจมตีเป้าหมาย มิได้เป็นการถืออาวุธเพื่อไปคืนเจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน โดย ลักษณะการสะพาย อยู่ในชุดที่เรียกว่าชุดห้อยข้างประจำกาย ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธแบคอัพ และอาวุธหลัก แสดงให้เห็นว่ามิได้เป็นการถืออาวุธเพื่อที่จะไปคืนเจ้าหน้าที่ทหาร โดยภาพนี้ในเว็บไซต์สุทธิชัย หยุ่น ยังนำภาพนี้ไปใช้ประกอบข่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบจากภาพเดียวกันนี้ ซึ่งโพสต์อยู่ตามเว็บบอร์ดสนทนาการเมือง พบว่าชายในภาพถือปืนที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งานเพราะถอดซองกระสุนหรือแมกกาซีนกระสุนทั้งหมด และฉากหลังของภาพคือเวทีชุมนุมของ นปช. จึงไม่ใช่ภาพการสะพายอาวุธเพื่อใช้ในการจู่โจม

และในวันเดียวกันนี้ (14 เม.ย.) ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. นำนายมานพ อายุ 47 ปี มาโชว์ตัวที่เวทีผ่านฟ้า โดยระบุว่าเป็นชายชุดดำถือปืนที่ถูกแพร่ภาพในอินเตอร์เน็ต ยอมรับว่าเป็นการ์ดเสื้อแดงไม่เคยฝึกอาวุธหรือทำร้ายใคร นายมานพยึดอาวุธจากทหารเอามาให้หลังเวทีผ่านฟ้า เป็นภาพ ถ่ายที่ผ่านฟ้า นอกจากนี้ยังนำภาพที่มีชายขี่จักรยานยนต์นำปืนไปคืนให้ทหาร

พร้อมกันนั้นได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวสอบถามนายมานพโดยนายมานพ บอกว่า วันที่ 10 เม.ย. ไม่ได้อยู่แยกคอกวัว แต่ยอมรับว่าปลดปืนจากทหาร ตนไม่เคยฝึกอาวุธหรือทำร้ายใครไม่ได้ก่อเหตุตามที่ถูกกล่าวหา

คนเสื้อแดงถอนจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศมุ่งสมทบแยกราชประสงค์ - 14 เม.ย. 53

วานนี้ (14 เม.ย.) คนเสื้อแดงได้ย้ายที่ชุมนุม
จากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ มายังแยกราชประสงค์ทั้งหมด โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงชี้แจงเหตุยุบเวทีเหลือที่ราชประสงค์แห่งเดียวว่าเพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนเสื้อแดง และอาจจำเป็นต้องขยายพื้นที่การชุมนุมไปถึงสถานีรถไฟฟ้าราชดำริ, สยาม และสีลม

นอกจากนี้กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การปะทะกันเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ไปยังวัดหัวลำโพง ขณะเดียวกันได้รื้อโครงเมรุบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออก
 
 
 
 

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

เสื้อแดงคลอดลูกกลางผ่านฟ้า ชาวเว็บประกวดตั้งชื่อลูก

12 เม.ย.53 ที่สะพานผ่านฟ้า เจ้าหน้าที่ของหน่วย FARED ซึ่งเป็นหน่วยพยาบาลของคนเสื้อแดงที่ตั้งอยู่ในที่ชุมนุมแจ้งว่า เมื่อเวลา 5.00 น. ได้รับแจ้งว่ามีผู้ชุมนุมจากกลุ่มคนเสื้อแดงพะเยาคลอดลูกในห้องน้ำสาธารณะ จากนั้นจึงมีคนแจ้งให้หน่วยพยาบาลไปทำคลอด ทั้งแม่และลูกชายปลอดภัย แต่มีน้ำหนักเพียง 2000 กรัม เนื่องจากคลอดก่อนกำหนด 2 เดือน ขณะเดียววัน ในเว็บไทยฟรีนิวส์ก็เปิดให้มีการร่วมประกวดตั้งชื่อเด็กชายคนดังกล่าวด้วย http://www.thaifreenews.org/forum/index.php?topic=7824.0


วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

A Soldier’s Story : เรื่องเล่าจาก ‘ไพร่ราบทหารเกณฑ์’ เบื้องหน้า ‘บูรพาพยัคฆ์’

คำบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณถนนราชดำเนินและถนนข้าวสารเมื่อคืนวัน ที่ 10 เม.ย.2553 เป็นการบอกเล่าของทหารเกณฑ์นายหนึ่งที่โทรศัพท์ถึงครอบครัวของเขา ทหารหลายนายได้รับคำสั่งห้ามสื่อสารกับสื่อมวลชน เพราะฉะนั้นรายงานชิ้นนี้จึงไม่อาจเปิดเผยชื่อของแหล่งข่าวได้

ทหารเกณฑ์ประมาณ 50 นายที่ยังไม่จบหลักสูตรการฝึกขั้นพื้นฐาน ได้รับคำสั่งให้สวมชุดปราบจลาจลช่วงบ่ายวันเสาร์และถูกพาขึ้นรถมาที่บริเวณ ถนนราชดำเนิน เราไม่ได้รับคำชี้แจงล่วงหน้าว่าเรากำลังไปที่ไหน หรือภารกิจของเราคืออะไร เราได้รับอาวุธปืนและกระสุนยาง แต่ไม่มีหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาให้ พวกเราเคยผ่านการฝึกการควบคุมจลาจลมาบ้าง และเคยประจำการที่ด่านตรวจมาก่อน แต่เรื่องระเบียบวินัยขั้นพื้นฐานและภาวะผู้นำของเรายังต้องพัฒนาเพิ่มเติม พวกเรายังไม่มีประสบการณ์

หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็รู้ว่าเรากำลังต่อสู้กับกลุ่มคนเสื้อแดง เราถูกสอนให้ยิงกระสุนยางไปที่ขาของผู้ชุมนุมประท้วง แต่เราต้องเผชิญหน้ากับก้อนอิฐ ท่อนไม้ และกระสุนปืน แก๊สน้ำตาทำให้เรามองเห็นได้ยากว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่เหมือนกับวิดีโอเกม มีทหารหน่วยอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน บางหน่วยก็มาจากกองกำลังอื่น แต่เราไม่เห็นว่าพวกเขาทำงานประสานกัน

นายทหารคนหนึ่งในหมู่พวกเราบาดเจ็บและถูกนำตัวออกไป และไม่มีใครเข้ามาประจำตำแหน่งแทน พวก ทหารเกณฑ์หลายคนเลยวิ่งหนีไปหาที่ปลอดภัย บางนายทิ้งอาวุธกับอุปกรณ์อื่นๆ เอาไว้ข้างหลัง ส่วนผมกำลังลากตัวเพื่อนทหารที่บาดเจ็บให้พ้นจากพื้นที่อันตราย มีทหารหลายนายบาดเจ็บสาหัสและเราคิดว่าบางคนอาจจะตายไปแล้วด้วย มันเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมาก

วูบหนึ่งผมเกือบหมดสติเพราะแก๊สน้ำตา กลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาถอดหมวกผม และเอามันไปไว้ที่ไหนไม่รู้ พวกเขาเอาน้ำมาให้ผมล้างหน้า ผมกับเพื่อนอีก 2 นายพลัดหลงจากกลุ่มไปแล้วเรียบร้อย และไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน พวกเราพยายามอยู่กับที่ แต่มันอันตรายเกินไป ก็เลยพยายามคลำทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลงทาง 3 ชั่วโมงผ่านไปเราเจอกับตำรวจนายหนึ่งช่วงกลางดึกและเขาเป็นคนบอกเราว่าหน่วย ของพวกเราอยู่ตรงไหน

เราได้นอนประมาณ 3 ชั่วโมง และถูกส่งกลับค่ายในช่วงบ่ายของวันต่อมา จากทหาร 50 นายที่ออกไปนอกค่ายเหลือกลับมาแค่ 20 บางส่วนอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะได้รับบาดเจ็บ และอาจเป็นไปได้ว่าอีกหลาย นายหนีไปแล้วเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขา

พวกเราตัดสินใจกันในหมู่ทหารเกณฑ์ว่าเราจะไม่ออกไปปฏิบัติภารกิจแบบนี้ อีก นายทหารบางคนก็พูดเหมือนกับเรา และเราได้รับคำยืนยันจากนายทหารระดับสัญญาบัตรว่าเราจะไม่ได้รับคำสั่งให้ ออกไปอีก

THAI RED AUSTRALIA ประนามทรราช

THAI RED AUSTRALIA
ต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์และการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพไทยและรัฐบาล
วันที่ 12 เมษายน 2553 กลุ่มคนไทยที่พำนักอาศัยในประเทศออสเตรเลียได้รวมกัน ณ บริเวณ Archibald Fountain ของ Hyde Park, Sydney ด้าน St. James railway station เพื่อร่วมกันประนามและคัดค้านการกระทำของกองทัพและอำมาตย์ ที่ได้ใช้กำลังในการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยได้ใช้อาวุธสงครามยิงประชาชนเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 โดยได้แจกจ่ายแถลงการณ์ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยต่อประชาชนชาวออสเตรเลียและนัก ท่องเที่ยว มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก ทั้งนี้มีตัวแทนขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนของประเทศออสเตรเลีย เข้าร่วมกิจกรรมและร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ผู้สนใจซึ่งประชาชนที่ได้รับ ทราบข้อเท็จจริง ต่างร่วมกันประนามความโหดร้ายของรัฐบาลไทยและกองทัพในครั้งนี้ และได้ร่วมกันเดินขบวนไปยัง กงศุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพ หยุดทำร้ายและปราบปรามประชาชน และให้นายอภิสิทธิ์ ลาออก หรือยุบสภาโดยเร็ว พร้อมทั้งให้แสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียหายและผู้บาดเจ็บ โดยระหว่างการเคลื่อนขบวนไปยังกงศุล ผู้แทนขององค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศออสเตรเลียได้นำกลุ่มคนไทยที่รัก ประชาธิปไตยประกาศต่อประชาชนที่ให้ความสนใจตลอดเส้นทางว่า “STOP KILLING PEOPLE AND BRING BACK DEMOCRACY”โดยการชุมนุนในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเจ้า หน้าที่ตำรวจของรัฐนิวเซาเวลล์ เนื่องจากประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้ จริงจึงส่งเสริมให้พวกเราทำการชุมนุมได้อย่างเสรี แต่เมื่อเดินทางถึงสถานกงสุลไทย พวกเราก็ต้องเสียความรู้สึกเมือถูกปิดกั้นไม่ให้ทางคณะขึ้นไปยื่นหนังสือ แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งขึ้นไปเจรจาจนทำให้พวก เราส่งตัวแทนจำนวน 5 คนขึ้นไปยื่นหนังสือต่อตัวแทนของกงศุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ จนสำเร็จ โดยผู้แทนของกงศุลรับปากว่าจะนำข้อเรียกร้องเสนอต่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าอำนาจมืดตามมาปกคลุมหน่วยงานราชการถึงในต่างประเทศ ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศออสเตรเลีย และ ผู้แทนขององค์กรสิทธิมนุษยชนออสเตรเลียที่เข้าใจถ่องแท้ในเรื่องประชาธิปไตย และให้ความช่วยเหลือแก่พวกเราเป็นอย่างดีจนทำให้ภารกิจในวันนี้สำเร็จลุล่วง ไปด้วยดี


วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

นิติเวชเผย 10 ศพโดนยิง - โรคประจำตัว1

12 เม.ย.53   เว็บไซต์ไอเอ็นเอ็น รายงานว่า พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ8) ร.พ.ตำรวจ พร้อมคณะแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของผู้เสียชีวิตจากเหตุการ ปะทะเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 11 ศพ ซึ่งรวมถึงช่างภาพชาวญี่ปุ่นจากสำนักข่าวรอยเตอร์ พบว่า ผู้เสียชีวิต 9 คน ถูกยิงด้วยอาวุธปืนความเร็วสูง โดย 5 คนถูกยิงเข้าศรีษะ, 4 คนถูกยิงเข้าทางหน้าอก และอีก 1 คน เสียชีวิตจากระบบหายใจล้มเหลว ส่วนกรณีช่างภาพญี่ปุ่นนั้น ระบุได้เพียงว่า ถูกยิงจากกระสุนจริง แต่ในรายละเอียดไม่ขอเปิดเผย เนื่องจากทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ร้องขอมา ทั้งนี้ ในส่วนของชนิดปืนที่ใช้  ชนิดกระสุน รายละเอียดพฤติกรรม จะทำการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง

กกต.มีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์ ส่งอัยการสูงสุดยื่นศาลรธน.เร็วกว่ากำหนด

12 เม.ย.53   มีรายงานข่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสียงข้างมากมีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ส่วนคดีเงินพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทใช้ผิดวัตถุประสงค์นั้นมีมติเอกฉันท์ยุบพรรค ก่อนส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ ก่อนจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ทั้งนี้ การพิจารณาของกกต.เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีการพิจารณาในวันที่ 20 เมษายนนี้ ทั้งนี้ มติกกต.พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์เสียง 4 ต่อ 1 ในคดีเงินบริจาคเข้าพรรคจำนวน  258 ล้านบาท และมีมติเป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 ในคดีเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้าน
คณะกรรมการบริหารพรรค
1  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  หัวหน้าพรรค
2  นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์  รองหัวหน้าพรรค
3  นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์  รองหัวหน้าพรรค ภาคเหนือ
4  นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน  รองหัวหน้าพรรค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
5  นายกรณ์ จาติกวณิช  รองหัวหน้าพรรค กรุงเทพมหานคร
6  นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน  รองหัวหน้าพรรค ภาคกลาง
7  นายวิทยา แก้วภราดัย  รองหัวหน้าพรรค ภาคใต้
8  นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  เลขาธิการพรรค
9  นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์  รองเลขาธิการพรรค
10  นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู  รองเลขาธิการพรรค
11  นายธีระ สลักเพชร  รองเลขาธิการพรรค
12  นางอัญชลี วานิชเทพบุตร  เหรัญญิกพรรค
13  นายบุรณัชย์ สมุทรักษ์  โฆษกพรรค
14  นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ  นายทะเบียนสมาชิกพรรค
15  นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย  กรรมการบริหารพรรค
16  นายสาธิต ปิตุเตชะ  กรรมการบริหารพรรค
17  นายวิรัช ร่มเย็น  กรรมการบริหารพรรค
18  ดร.ผุสดี ตามไท  กรรมการสำรอง
19  ดร.พีรยศ ราฮิมมูลา  กรรมการสำรอง
20  นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์  กรรมการสำรอง

แห่ดูซากรถเกราะ–ฮัมวี่ หลังคืนปะทะ 10 เม.ย.

ผู้ชุมนุมแห่ชมซากรถสายพานล
ำเลียงพลชนิด Type-85 รถฮัมวี่ และรถในราชการทหารนับ 10 คัน ที่ถูกผู้ชุมนุมสกัดเอาไว้ที่เชิงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและ ถ.ดินสอ ระหว่างการปะทะเมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.


เมื่อวานนี้ (11 เม.ย.) ที่ ถ.ตะนาว และ ถ.ดินสอ ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงพากันมามุงดูสภาพความเสียหาย ภายหลังทหารเข้ามาสลายการชุมนุ มเมื่อคืน 10 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยที่ ถ.ดินสอ เชิงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีรถสายพานลำเลียงพลชนิด Type-85 ติดปืนกล 6 คัน รถฮัมวี่ 3 คัน และรถยีเอ็มซีติดเครื่องขยายเสียง 1 คัน รถทั้งหมดสังกัด ม.พัน 3 รอ. เกียกกาย ถูกผู้ชุมนุมสกัดไว้ระหว่างการปะทะเมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย. โดยที่ทหารล่าถอยหลังการปะทะ จอดทิ้งยานยนต์เอาไว้ทั้งหมดปล่อยให้ผู้ชุมนุมเข้ายึด โดยผู้ชุมนุมมีการตัดสายพานของรถ และถอดปืนกลประจำการออก เพื่อไม่ให้ทหารนำรถไปใช้ได

ส่วนที่ ถ.ตะนาว มีรถกระบะของผู้ชุมนุมซึ่งถูกยิงด้วยอาวุธสงครามจอดเสียหายอยู่เป็นจำนวนมาก ถนนทั้งสองเส้นมีคราบเลือดที่เกิดจากการปะทะแห้งติดถนนหลายจุด มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงจุดธูปและวางดอกไม้ น้ำดื่ม เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิต

นอกจากนี้ที่ ถ.บวรนิเวศน์ หน้าวัดบวรนิเวศน์วิหาร มีรถยีเอ็มซีจากโรงเรียนนายร้อย จปร. 1 คัน และรถบรรทุกจากโรงเรียนนายร้อย จปร. 1 คัน ถูกถอดล้อไม่สามารถเคลื่อนออกจากพื้นที่ได้

โดยบรรยากาศอยู่ในความโศกเศร้า มีผู้ชุมนุมยืนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากการปะทะกับทหาร นอกจากนี้ผู้ชุมนุมหลายรายก็เข้ามาถ่ายภาพซากรถสายพานลำเลียงพล และรถในราชการทหารต่างๆ เป็นที่ระลึก และมีการเขียนข้อความประณามผู้สังการสลายการชุมนุมรอบตัวรถถังด้วย
 
 
 

เสื้อแดงเคลื่อนขบวนแห่ศพประชิดซอยบ้านนายกฯ แกนนำลั่นประชาชนถูกฆ่า ไม่เจรจารัฐบาล

แกนนำฯ ประกาศปิดประตูเจรจากับรัฐบ
าล ชี้ประชาชนถูกฆ่า รัฐบาลจะอยู่ได้อย่างไร ขณะที่ขบวนแห่ศพทั่วกรุง สรุปไม่แวะบ้านนายกฯ


12 เม.ย.53 นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.กลุ่มคนเสื้อแดง เตรียมเปิดแถลงความชัดเจนเส้นทางเคลื่อนขบวนแห่ศพ วีรชนคนเสื้อแดงทั่วกรุงเทพมหานครในเวลาประมาณ 10.00 น.โดยกลุ่มแกนนำฯ ประกาศปิดประตูเจรจากับรัฐบาล แม้ที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาลมีมติยุบสภาใน 6 เดือน โดยระบุว่า "ประชาชนถูกฆ่า รัฐบาลจะอยู่ได้อย่างไร”

ขณะที่ขบวนแห่ศพซึ่งเป็นรถปิกอัพ มอเตอร์ไซด์ และคนเดินเท้า ได้เริ่มต้นราว 10.00 น. จากสะพานผ่านฟ้าไป โดยมีโลศพ 16 โลง ในจำนวนนั้นมี 2 โลงซึ่งบรรจุศพจริง แต่ละโลงถูกนำขึ้นรถกระบะโดยมีธงชาติคลุม พร้อมรูปผู้เสียชีวิต นอกนั้นเป็นโลกเปล่าทาสีแดง เพราะศพทั้งหมดถูกนำไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ขณะที่ บริเวณพื้นที่ชุมนุมสะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ยังคงมีกลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักอยู่และไม่เดินทางร่วมไปกับขบวน เพื่อป้องกันการเข้าสลายการชุมนุม

เว็บไซต์มติชน รายงานว่า ขบวนรถแห่งศพได้ผ่านศาลาแดง และเข้าถนนสุขุมวิท แต่ไม่ได้เข้าไปยังบ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ซอยสุขุมวิท 31 แต่อย่างใด
\
เวลาประมาณ 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขบวนรถเสื้อแดงอยู่หน้าซอยสุขุมวิท31 นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา โดยตำรวจบชน.5 ได้ตั้งแถวต้านขบวนเสื้อแดง ด้านหลังแนวตำรวจมีรถขนผู้ต้องขัง 3 ค้นกั้นบริเวณหน้าปากซอย อย่างไรก็ตาม มีเหตุชุลมุนเล็กน้อย เมื่อมีชายสูงอายุคนหนึ่งไปตะโกนโวยวายกับตำรวจว่า อภิสิทธิ์เป็นพ่อมคึงหรือ ทำให้แกนนำต้องให้การ์ดมากันตัวออกไป

เวลาประมาณ 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หางขบวนหลักยังอยู่บนถนนลาดพร้าว ขณะที่มีขบวนย่อยจะไปยังบ้านนายอภิสิทธิ์ และอาจรวมไปถึงบ้านนายสุเทพ อย่างไรก็ตาม เกิดกระแสข่าวในกลุ่มผู้ชุมนุมว่าจะมีทหารเข้าไปสลายที่ผ่านฟ้าอีกครั้ง ทำให้ขบวนมอเตอร์ไซด์หลายร้อยคันมุ่งหน้ากลับไปยังสะพานผ่านฟ้า

ใช้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจัดงานศพผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุม

คนเสื้อแดงใช้ลานอนุสาวรีย์

ประชาธิปไตยจัดสวดอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตเหตุสลาย การชุมนุม เตรียมแห่ศพทั่วกรุงเทพฯ วันนี้
 
 
 คลิปสัมภาษณ์ญาติและมิตรของ
ผู้เสียชีวิต ที่นี่ [http://www.youtube.com/watch?v=sVYNGky4rQ4]

วานนี้ (11 เม.ย.) เมื่อเวลา 18.00 น.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน แกนนำนปช.นำโลงศพสีแดงมาวางเรียงกัน พร้อมตั้งเต็นท์และโต๊ะหมู่บูชา เพื่อประกอบพิธีสวดพระอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ วันที่ 10 เม.ย.

เวลา 18.45 น.แกนนำนปช. นำโดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เดินนำขบวนแห่ศพจำนวน 3 ศพที่ผ่านการชันสูตรพลิกศพแล้ว เดินแห่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไต ยร่วมกับพระสงฆ์กว่า 10 รูป 1 รอบ จากนั้นนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ติดต่อประสานนำโลงเย็น 3 โลงมาบรรจุศพทั้ง 3 ก่อนตั้งสวดพระอภิธรรม

เวลา 19.00 น.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยส.ส.เพื่อไทย อาทิ นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ประธานวิปฝ่ายค้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี รองประธานสภาผู้แทนฯ ร่วมเป็นประธานพิธีทอดผ้าบังสุกุล

นายสมชายกล่าวว่า ขอสดุดีพี่น้องที่พลีชีพเพื่อประชาธิปไตย และขอให้พี่น้องที่อยู่ข้างหลังสืบทอดเจตนารมณ์ผู้เสียชีวิต จากการที่ได้ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บตามร.พ.ต่างๆ มีทั้งผู้บาดเจ็บเล็กน้อย และที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยบางคนบีบมือตนทั้งสองข้างพร้อมบอกว่าจะสู้ต่อ ตนบอกไปว่าขอให้หายก่อน ยืนยันว่าไม่ทอดทิ้ง ขอให้ประสบความสำเร็จในการต่อสู้

เวลา 19.30 น. ระหว่างทำพิธี มีการประกาศจากเวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศว่ามีทหารมาที่สะพานปิ่นเกล้าฯ ให้รถจักรยานยนต์ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ขบวนจักรยานยนต์คนเสื้อแดงหลายร้อยคันวิ่งผ่านสถานประกอบพิธี ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมพิธีลุกฮือตามกลุ่มจักรยานยนต์ดังกล่าว นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องกล่าวผ่านไมโครโฟนกำชับผู้ชุมนุมว่าอย่าตามไป เพราะทหารเข้ามานำรถทหารที่เสียหายกลับไปซ่อมในกรมกอง และยืนยันว่าจะกลับเข้ากรมกองไม่ออกมาอีกแล้ว เรื่องนี้ประสานตำรวจเรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าคืนนี้จะไม่มีการรบ คืนนี้มีอยู่อย่างเดียวคือส่งวิญญาณผู้เสียชีวิตไปสู่สุคติ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงกลับสู่ความสงบ

นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า มูลนิธิไทยคมจะส่งเสียบุตรผู้เสียชีวิตทั้งหมดจนสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี และวันที่ 11 เม.ย. แกนนำ นปช. และคนเสื้อแดงจะนำผู้เสียชีวิตขึ้นรถขบวนแห่ไปรอบกรุงเทพฯ เพื่อสดุดีในความเสียสละ ให้คนไทยและทั่วโลกได้รู้ว่าพี่น้องที่เสียสละ ซึ่งถือว่าเป็นไพร่ได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หัวขบวนจะเริ่มที่สะพานผ่านฟ้าฯ เริ่มเคลื่อนเวลา 10.00 น. ไปเป็นขบวนเดียวกัน
 

พบทหารส่ง “เครื่องหูดับ” เข้าใกล้ที่ชุมนุม มาร์คบอกมาประชาสัมพันธ์

สมาชิกประชาไทเว็บบอร์ดเผยภาพทหารส่งเครื่องส่งคลื่นความถี่สูง (LRAD) เข้าใกล้ที่ชุมนุม ชี้ผลของเครื่องทำให้ปวดแก้วหู คลื่นไส้ อาเจียน ต่างประเทศใช้เป็นอาวุธปราบโจรสลัดและใช้ในสงครามอิรัก ขณะที่โฆษก ศอ.รส.อ้างวันนี้ไม่มีอาวุธ ส่วนมาร์คบอกวันนี้มาประชาสัมพันธ์








ตามที่ในวันนี้มีทหารและตำรวจเข้าไปประจำการใกล้พื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดง ที่ ถ.ราชประสงค์ และเข้าตั้งแถวกดดันผู้ชุมนุมจนเกิดการกระทบกระทั่งกัน ก่อนที่แกนนำคนเสื้อแดงจะระดมผู้ชุมนุมล้อมทหารและตำรวจตามพื้นที่ต่างๆ และเจรจาให้ถอนกำลังกลับนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 19.04 น. วานนี้ (6 เม.ย.) ผู้ใช้ชื่อ "Unter" ใน ประชาไทเว็บบอร์ด ตั้งกระทู้หัวข้อ “วันนี้ ไปใกล้ชิดกับ HUMVEE equipped with LRAD XTREME” เผยแพร่ภาพรถฮัมวี่ในราชการทหาร ทะเบียนกงจักร 24932 บนหลังคาติดตั้งเครื่องส่งคลื่นความถี่สูง (LRAD) หรือ “เครื่องหูดับ” ในบริเวณใกล้กับแยกราชดำริ ใกล้กับที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บริเวณแยกราชประสงค์
ทั้งนี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอ.รส. แถลงเมื่อ 11.00 น. อ้างว่าการที่มีทหารตำรวจเข้าไปในพื้นที่ใกล้แยกราชประสงค์ เป็นมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เป็นการเพิ่มมาตรการความกดดันในพื้นที่ต่อกลุ่มผู้ชุมนุม โดยอ้างว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ทุกนาย ที่เข้าปฏิบัติภารกิจไม่มีใครพกพาอาวุธเข้าไปด้วย”
เช่นเดียวกับที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อเวลา 16.00 น. อ้างว่าตำรวจทหารเข้าไปประจำใกล้กับพื้นที่ชุมนุมแยกราชประสงค์เป็นการ “ประชาสัมพันธ์ให้ทางผู้ชุมนุมได้รับทราบถึงสถานะที่ผิดกฎหมายของการชุมนุม”
นายอภิสิทธิ์ยังระบุด้วยว่าจำนวนผู้ชุมนุมเสื้อแดงในวันนี้เกิดจาก “การระดมพี่น้องประชาชนที่เข้าใจผิด” เข้าสู่ที่ชุมนุมจำนวนมาก
สำหรับเครื่อง LRAD หรือ Long Range Acoustic Device ถือกำเนิดขึ้นจากเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายได้ขับเรือเล็กบรรทุกระเบิดพุ่งชน เรือ USS Cole ได้รับความเสียหายในปี 2543 จากนั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จึงได้ให้ทุนวิจัยแก่บริษัทเอกชน พัฒนาอุปกรณ์ป้องกันเหตุการณ์โจมตีในลักษณะต่าง ๆ จนสามารถพัฒนาเครื่อง LRAD หรืออาวุธคลื่นเสียง
ตอนแรกเครื่องดังกล่าวใช้ติดตั้งในเรือรบ เรือเดินสินค้า เรือบรรทุก น้ำมัน ใช้เตือนเรือเล็กไม่ให้เข้ามาใกล้ จากนั้นได้มีการติดตั้งบนรถฮัมวี่ เพื่อใช้ในภารกิจของตำรวจในยุโรปและสหรัฐ ใช้ในการควบคุมฝูงชนและสลายการชุมนุม นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังนำเครื่อง LRAD มาใช้ในสงครามอิรักด้วย
โดยเครื่องดังกล่าวทำงานคล้ายลำโพงขยายเสียงใช้เพื่อประกาศ เปิดเพลง และอื่นๆ รวมทั้งเพื่อรบกวนกลุ่มผู้ชุมนุม สามารถปล่อยคลื่นเสียงได้ไกลถึง 3 กิโลเมตร สามารถกำหนดทิศทางเสียงให้เจาะจง ไปยังเป้าหมายได้ กำหนดระยะกว้างหรือแคบได้ โดยเครื่อง LRAD สามารถปล่อยคลื่นเสียงความถี่ 120-140 เดซิเบล ซึ่งความถี่ระดับดังกล่าวเป็นอันตรายต่อการได้ยินของมนุษย์
สำหรับในประเทศไทย LRAD ถูกใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ 6 ส.ค. 52 เพื่อสลายการชุมนุมของกลุ่มคนงานที่มาชุมนุมเรียกร้องต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้แก้ไขปัญหาการถูกเลิกจ้าง โดยคนงานที่มาชุมนุมพบว่าผลของเครื่อง LRAD ทำให้เจ็บปวดแก้วหู บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
สำหรับราคาของเครื่อง LRAD ดังกล่าว บช.น. เคยซื้อมาประจำการโดยขนาดใหญ่แบบปล่อยเสียง 3 กิโลเมตร ราคาเครื่องละ 2 ล้านบาท และซิ้อเครื่อง LRAD ขนาดเล็กแบบพกพา ปล่อยเสียงในระยะ 300-500 เมตร ในราคาเครื่องละ 7 แสนบาท

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
นักข่าวพลเมือง: อภิสิทธิ์เมินคนงานไทรอัมพ์-เอนี่ออน-เวิล์ลเวลล์ฯ ชุมนุมทวงสัญญา ตำรวจประเดิมใช้เครื่องเสียงความถี่สูงไล่, 29 ส.ค. 52 http://www.prachatai.com/journal/2009/08/25627
นักวิชาการชี้ใช้เครื่อง LRAD สลายการชุมนุมไทรอัมพ์ละเมิดสิทธิ แนะฟ้องศาลปกครอง, 6 ก.ย. 52, http://www.prachatai.com/journal/2009/09/25713

รวมประสบการณ์ชาวต่างชาติในเหตุการณ์ “ทหารปะทะเสื้อแดง” บริเวณถนนราชดำเนิน

มติชนออนไลน์ รายงานประสบการณ์ชาวต่างชาติ ที่บอกเล่าผ่านสื่อต่างประเทศ ถึงเหตุการณ์ทหารปะทะผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ซึ่งไม่ไกลนักจากถนนข้าวสาร แหล่งท่องเที่ยวและพักแรมของชาวต่างชาติ

เพราะจุดปะทะสำคัญจุดหนึ่งระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อ วันที่ 10 เมษายน เกิดขึ้นที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากถนนข้าวสาร อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักแรมสำคัญของบรรดาชาวต่างชาติ ดังนั้น จึงมีชาวต่างชาติหลายรายที่ได้ประสบเหตุปะทะดังกล่าวด้วยสายตาตนเอง และบอกเล่าเรื่องราวความรุนแรงออกมาผ่านสื่อต่างประเทศ

"พอล" ครูชาวอังกฤษซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย เปิดเผยกับบีบีซีว่า เขาอยู่ท่ามกลางฝูงชนเสื้อแดงบนถนนตรงบริเวณแยกข้าวสาร และเขาได้พบเห็นชายคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี ถูกยิงที่หน้าอก ขณะกำลังโบกธงอยู่บนรถกระบะ

"ผมคิดว่าทหารกราดกระสุนปืนใส่พลเรือน" ครูชาวอังกฤษกล่าวและว่า "ผมไม่เชื่อว่าจะได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยสายตาของตนเอง"

ขณะที่เว็บไซต์ไทม์ส ออนไลน์ ได้สัมภาษณ์ "ชารอน แอราดบาสซัน" นักท่องเที่ยววัย 34 ปี จากอิสราเอล ซึ่งพบเห็นเหตุปะทะใกล้ถนนข้าวสาร เธอกล่าวว่า "มันเป็นเรื่องน่าเขย่าขวัญมาก พวกเราได้ยินเสียงระเบิด และผู้คนก็วิ่งกันสับสนอลหม่านไปหมด"

ไทม์ส ออนไลน์ ยังรายงานด้วยว่า มีนักท่อง เที่ยวชาวญี่ปุ่นซึ่งใส่เสื้อสีแดงคนหนึ่งถูกทหารตีด้วยกระบอง ก่อนจะมีผู้พบเห็นเหตุการณ์เข้าไปช่วยเหลือชีวิตของเขาเอาไว้ได้

นอกจากนี้ เว็บล็อกนิว แมนดาลา (นวมณฑล) ได้เผยแพร่บทบันทึกชื่อ "สงคราม ที่ถนนข้าวสาร" ของ "นิโคลัส เดย์" นักเขียนรับเชิญของบล็อก

เดย์และเพื่อนสาวได้พบเห็นเหตุการณ์ทหารประจันหน้ากับกลุ่มคนเสื้อ แดงบริเวณร้านเบอร์เกอร์คิง ถนนข้าวสาร เดย์บันทึกว่าเท่าที่เห็นด้วยสายตาตนเอง กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่มีหัวใจตบและไม้ขนาดยาวเป็นอาวุธ เขาไม่ยืนยันว่าคนเสื้อแดงบางรายพกอาวุธปืนหรือไม่ แม้ส่วนตัวเขาจะคิดว่าบางคนคงมีอาวุธปืน อย่างไรก็ตาม เท่าที่สังเกตการณ์ เดย์ไม่ได้ยินเสียงยิงปืนจากกลุ่มฝูงชนเสื้อแดง

หลังจากทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน ก็มีเสียงปืนดังขึ้น ซึ่งมีความชัดเจนว่าเสียงปืนดังกล่าวมาจากฝั่งทหาร ส่งผลให้กลุ่มคนเสื้อแดง รวมทั้งเดย์และเพื่อนสาวต้องล่าถอยมายังบริเวณถนนราชดำเนิน เขาไม่ทราบว่ากระสุนที่ถูกยิงขึ้นเป็นกระสุนจริงหรือปลอม มีผู้ชุมนุมบอกว่านั่นไม่ใช่กระสุนจริง อย่างไรก็ตาม เดย์แสดงความเห็นว่า ถ้าทหารใช้กระสุนจริง พวกเขาก็ไม่ควรยิงปืนเข้าใส่ฝูงชนจำนวนมากที่ชุมนุมอยู่ในพื้นที่ที่มีขอบ เขตจำกัดเช่นนั้น

เดย์ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในบรรดาคนเสื้อแดง มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมล่าถอย แม้ทหารจะเปิดฉากยิงปืน คนกลุ่มนั้นก็คือเหล่าการ์ดเสื้อแดง ซึ่งเดย์แสดงความเห็นว่า ถ้าคนเหล่านี้ไม่บ้าระห่ำ ก็คงจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด หรือไม่พวกเขาก็คงมีองค์ประกอบทั้งสองด้านอยู่ด้วยกัน

กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มขว้างปาสิ่งของ เช่น ขวดน้ำ ก้อนหิน และไม้ที่ถูกจุดไฟ เข้าใส่ทหาร สถานการณ์ตรงถนนสายที่จะมุ่งไปสู่ถนนข้าวสารเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เรื่อย ๆ เมื่อเดย์และเพื่อนสาวล่าถอยมาตรงถนนราชดำเนินมาได้ 5 นาที เขาก็พบเห็นการ์ดเสื้อแดงบางคนถูกหามมาทางด้านหลัง เพราะได้รับบาดเจ็บ

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น ก็มีฝรั่งแต่งกายแบบฮิปปี้และไว้ผมยาวคนหนึ่งตะโกนบอกไปยังฝูงชนว่า "ขอ ดาบซามูไรให้ผมหน่อย!" ขณะเดียวกัน ก็มีประโยคเด็ด ๆ ถูกปลดปล่อยพรั่งพรูออกมาจากผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวอีกมากมายหลาย ประโยค

จากนั้น รถพยาบาลและรถกู้ภัยก็แล่นเข้ามาช่วยเหลือและรับผู้ได้รับบาดเจ็บไปรักษา ก่อนที่ทหารจะยิงปืนขึ้นอีกครั้งและดูเหมือนสถานการณ์จะหนักหน่วงยิ่งขึ้น จนเดย์ต้องตัดสินใจล่าถอยกลับไปยังถนนราชดำเนินอีกครั้งหนึ่ง

ที่มา: มติชนออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

"กลุ่มเสื้อลายดอก" ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจกับสงกรานต์เลือดอีกครั้ง

11 เม.ย. 53 -  กลุ่มคนอยากเล่นสงกรานต์ (กลุ่มเสื้อลายดอก) ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2/2553 เรื่อง “ขอแสดงความเสียใจกับสงกรานต์เลือดอีกครั้ง”
 
แถลงการณ์กลุ่มคนอยากเล่นสงกรานต์ (กลุ่มเสื้อลายดอก)
 ฉบับที่ 2/2553
เรื่อง
“ขอแสดงความเสียใจกับสงกรานต์เลือดอีกครั้ง”

 
เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สงกรานต์ปีนี้กลายเป็นสงคราม แทนที่จะเป็นการสาดน้ำกลับกลายเป็นการสาดเลือด แทนที่อาวุธในการต่อสู้คราวนี้จะเป็นปืนฉีดน้ำ ดินสอพอง น้ำอบไทย ขันน้ำ แต่กลับกลายเป็นอาวุธสงคราม แทนที่แนวทางในการต่อสู้จะเป็นการยิ้มแย้มแจ่มใส มอบความรักให้แก่กัน แต่กลับการเป็นใช้ความรุนแรง มอบความเกลียดชังให้แก่กัน
ในเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงลักษณะนี้แล้ว คงไม่มีใครสามารถที่จะเล่นน้ำสงกรานต์ได้อย่างมีความสุขเต็มที่ ทางกลุ่มเสื้อลายดอกจึงมีข้อเรียกร้องต่อทุกฝ่าย เพื่อสร้างให้ความสุขกลับคืนสู่ประเทศไทยบ้าง และให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ดังนี้
1.ขอประณามผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำลายเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ทุกคน และขอแสดงความเสียใจกับทุกชีวิตที่ต้องสูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร หรือ ประชาชน
2.ขอร้องให้ทุกฝ่ายหยุดพักในช่วงวันหยุดสงกรานต์ เพื่อไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเพื่อสร้างบรรยากาศของบ้านเมืองให้คลายตัว แม้ว่าจะไม่อาจมีเทศกาลสงกรานต์ที่ดีอย่างเช่นเคย แต่กลุ่มผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ควรมีโอกาสในการกลับไปสู่ภูมิลำเนา ไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ญาติมิตร  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคการท่องเที่ยวได้มีโอกาสสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้แก่ประเทศบ้าง
3.ขอให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ วุฒิสภา และแพทยสภา เป็นเจ้าภาพ โดยจัดตั้งคณะกรรมการจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ สื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ หน่วยงานด้านการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ผู้เห็นเหตุการณ์ เพื่อให้ความจริงในเหตุการณ์ความรุนแรงกระจ่างโดยเร็ว และห้ามคู่ขัดแย้งนำประเด็นการเสียชีวิตไปยั่วยุปลุกระดมโดยยังไม่ได้มีการ พิสูจน์ข้อเท็จจริง
4.จากเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งนี้ ทำให้ประชาชนบางส่วนอาจจะไม่สะดวกใจนักกับการแต่งเสื้อลายดอก ทางกลุ่มเสื้อลายดอกจึงขอให้ผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางของกลุ่มฯ สามารถแสดงสัญลักษณ์ได้โดยการแต่งกายตามปกติ และมีสัญลักษณ์รูปดอกไม้ ติดในเครื่องแต่งกาย เช่น ติดเข็มกลัดรูปดอกไม้ หรือการกลัดดอกไม้สดที่เสื้อผ้า โดยอาจจะแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้กับผู้เสียชีวิตและติดสัญลักษณ์รูปดอกไม้ ดังที่ว่า
5.ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้ตระหนักว่าเราควรจะอยู่ในประเทศเยี่ยงไร และร่วมกันขบคิดถึงแนวทางการ “สร้างประเทศไทยอย่างสร้างสรรค์” และให้ภาครัฐเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนระดมความคิดเห็นเพื่อสร้างและปฏิรูป “ไทยสร้างสรรค์” ต่อไปโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เราต้องพายเรือจนอ่างอีกรอบแล้วรอบเล่า
6.สำหรับมาตรการต่อไปของกลุ่มเสื้อลายดอกที่ได้นัดหมายล่วงหน้าใน วันที่ 12 เมษายน 2553 ทางกลุ่มฯขอประเมินสถานการณ์ก่อน และจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไปทางสื่อมวลชน และทาง facebook ของกลุ่มเสื้อลายดอก(เข้าไปที่ค้นหา ใส่ keyword “กลุ่มเสื้อลายดอก”) มีข้อเสนอแนะต่อกลุ่มเสื้อลายได้ ส่งอีเมล์มาได้ที่ laidokshirt@gmail.com
แม้ว่าสงกรานต์ในปีนี้ได้ถูกทำลายลงไปอย่างย่อยยับแล้ว แต่เราก็หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า สงกรานต์ปีหน้า ความสุขและรอยยิ้มจะคืนกลับสู่สังคมไทย และเราจะได้เลิกพายเรือวนรอบอ่างกันเสียที

                                                          ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
                                                                  11 เมษายน 2553
                                                                    ด้วยจิตคารวะ
                                                กลุ่มคนอยากเล่นสงกรานต์(กลุ่มเสื้อลายดอก)

"สันติประชาธรรม" เรียกร้องให้ "มาร์ค" รับผิดชอบสลายชุมนุม

11 เม.ย.53 - กลุ่มสันติประชาธรรมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงความรับผิดต่อการตัดสินใจสลายการชุมนุมจนนำไปสู่การนองเลือดในวันที่ 10 เม.ย. 53 โดยมีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์ของกลุ่มสันติประชาธรรม
 
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าสถานการณ์การเมืองของประเทศในขณะนี้ ได้ถลำลึกสู่ภาวะวิกฤติอย่างแท้จริง ความพยายามของรัฐบาลที่จะสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ได้นำมาสู่การปะทะกัน ในหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งมีแนวโน้มว่าการปะทะกันอาจลุกลามไปยังจุดอื่น ๆ ของประเทศได้ด้วย
 
เครือข่ายสันติประชาธรรมจึงขอเรียกร้องต่อทุกฝ่ายดังนี้
 
1.รัฐบาลจักต้องยุติความพยายามที่จะสลายและปราบปรามผู้ชุมนุมในทันที การชุมนุมโดยปราศจากอาวุธเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ข้ออ้างว่าต้องการขอพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าคืน เพื่อแก้ปัญหาจราจรเป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักใด ๆ เลย
 
2.นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องแสดงความรับผิดต่อการตัดสินใจสลายการชุมนุมจนนำไปสู่การนองเลือดในวัน ที่ 10 เม.ย. 53 ด้วยการขอโทษต่อผู้ชุมนุม
 
3.ผู้นำ นปช. จะต้องพยายามรักษาชีวิตของมวลชนเสื้อแดงอย่างสุดความสามารถ ต้องไม่โหมกระพือความรู้สึกโกรธแค้นของมวลชน และหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะทำให้เกิดการปะทะกับกองกำลังของรัฐ
 
4.รัฐบาลจักต้องยุติความพยายามที่จะปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของ ประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากตน เพราะมันคือสาเหตุที่สร้างความโกรธแค้นแก่คนเสื้อแดง และนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมกับกองกำลังของรัฐ
 
5.รัฐบาลและผู้นำของ นปช.จะต้องกลับสู่โต๊ะเจรจาโดยเร็วที่สุด การสานต่อการเจรจาเท่านั้นที่จะ ช่วยยับยั้งไม่ให้เลือดนองแผ่นดิน และป้องกันประเทศไม่ให้หวนคืนสู่วงจรอุบาว์ของการรัฐประหาร
 
เครือข่ายสันติประชาธรรม
11 เมษายน 53

เมื่ออภิสิทธิ์มองประชาชนเป็น ควาย และ "เหยื่อ"

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงออกทีวีเมื่อคืนวันพฤหัสว่า การปิดสื่อฝ่ายแดงไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ วิทยุเสื้อแดงและพีทีวี ก็ทำไปเพราะว่าสื่อเหล่านี้ “ยั่วยุ” และให้ข้อมูลผิดแก่ประชาชน โดยได้มีการ “ระงับยับยั้งการนำเสนอข้อมูลข่าวสารลักษณะนี้ให้ลดลงไปแล้วโดยลำดับ และคาดหวังว่าความรู้สึกเกลียดชิงชังได้ลดลงไปตามลำดับด้วย” แถมยังย้ำอีกว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความคิดเห็นต่างกัน” ถือเป็นการดูถูกและโกหกต่อประชาชนอย่างน่าละอาย วันนี้เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ดูถูกสติปัญญาประชาชน และเชื่อในการยัดเยียดข้อมูลฝ่ายเดียวให้ประชาชน เขาได้แสดงตนว่า เป็นเผด็จการทางความคิดอย่างชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกต่อไป
การปิดสื่อแดงรังแต่จะทำให้คนเสื้อแดงโกรธแค้นขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณอภิสิทธิ์คิดว่าคนเหล่านี้เป็น "ควาย" หรืออย่างไร จึงคิดว่าแค่ปิดสื่อแดงแล้วปัญหาจะหมดไปจริงและบ้านเมืองสงบขึ้น
ทัศนะของคุณอภิสิทธิ์สะท้อนทางความคิดว่า ประชาชนโดยเฉพาะคนเสื้อแดงไม่มีวิจารณญาณเป็นของตนเองและเป็นเพียง "เหยื่อ" ของสื่อแดงหรือทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ได้พูดเองเมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่า คนเสื้อแดงเป็น "เหยื่อ" ของทักษิณ ชินวัตร
การไม่ยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริงเป็นอาการของเผด็จการทางความคิเด แต่ดูเหมือนนายอภิสิทธิ์ยังคงต้องการที่จะยืนยันว่า "เราควรอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความคิดเห็นต่าง" ดังที่ได้พูดออกทีวีไปเมื่อคืนวันพฤหัสที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา หากคุณอภิสิทธิ์เชื่ออย่างที่พูดจริง คุณอภิสิทธิ์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปปิดสื่อเลย ไม่ว่าจะแดง เหลือง หรือสีใดก็ตาม
การทำเช่นนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกด่า ประณามว่า กระทำแบบสองมาตรฐานหรือเลือกปฏิบัติ เพราะผู้เขียนผู้เคยเขียนบทความปกป้องเสรีภาพของสื่อเสื้อเหลืองในอดีต ก็นึกไม่ออกว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือตัวนายอภิสิทธิ์เองเคยเรียกร้องให้มีการ ปิดสื่อที่ “ยั่วยุ” อย่างสื่อเสื้อเหลืองเอเอสทีวี ในช่วงที่กลุ่มเสื้อเหลืองยึดทำเนียบหรือสนามบินแต่อย่างไร
ในปัจจุบันสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ก็เหลืองกันไปเกือบหมดแล้ว เผยแพร่มุมมองดูถูกเกลียดชังคนเสื้อแดงทุกวี่ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้านายอภิสิทธิ์ห่วงเรื่องยุยงจริง ไม่คิดบ้างหรือว่า สื่อกระแสหลักซึ่งส่วนใหญ่เข้าข้างเหลือง และสื่อเหลืองเองก็ยังยั่วยุให้ใช้กำลังสลายคนเสื้อแดง ยุยงไม่น้อยไปกว่าสื่อเสื้อแดง
การตัดสินใจปิดสื่อแดงซึ่งรวมถึงประชาไทซึ่งไม่เคยถูกปิดแม้แต่ช่วงรัฐ ประหาร 2539 เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ผู้นำในขณะนี้มีความเชื่อเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เชื่อเรื่องวิจารณญาณของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ คำตอบคือ "ไม่" ประชาชนที่เชื่อในเสรีภาพและประชาธิปไตยจึงต้องลุกขึ้นมาต่อต้าน ประณาม และขัดขืนทุกรูปแบบอย่างสันติ เพราะการใช้อำนาจของรัฐบาลภายใต้ประกาศสภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในขณะนี้ขัด กับหลักสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี

ศอฉ. ถอยทหารกลับกรมกอง ไทยคมเชื่อม PTV ก่อน 4 โมงเย็น

11 เม.ย. 53 – เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงาน ว่า ที่กรมทหารราบ 11 เมื่อเวลา 10.30 น. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ.ในรอบเช้าที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคงในฐานะผอ.ศอฉ.เป็นประธานในการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีการประชุมใน 4 เรื่อง เรื่องแรก คือ ผอ.ศอฉ.ได้ขอให้เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจทุกหน่วยที่ปฏิบัติภารกิจเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาได้สำรวจตรวจสอบจำนวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และตรวจสอบสถานภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงเครื่องมือควบคุมฝูงช
ส่วน กำลังพลให้ดูรายละเอียดของผู้ เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บให้ชัดเจนแน่นอนว่า มีใครเป็นอะไรที่ตรงไหน และใครอยู่ตรงไหน เพื่อดำเนินการแจ้งให้ญาติผู้เกี่ยวข้อได้รับทราบ และดำเนินการดุแลในเรื่องของขวัญ สวัสดิการ รวมถึงมีการฟื้นฟูสวัสดิภาพ และมีการตรวจเยี่ยมโดยผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นของทุกหน่วย ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ดำเนินการสำรวจในรายละเอียดทั้งที่ถูกทำลาย ถูกยึด และสูญหาย เนื่องจากยุทโธปกรณ์บางส่วนได้ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมยึด ทุบทำลาย ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งเกรงว่า ผู้ที่นำยุทโธปกรณ์ไปแล้วจะสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายขึ้น และโยนความผิดให้กับตำรวจจึงต้องเนินการโดยละเอียด และโดยเร็ว
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เรื่องที่สองรวบรวมข้อมูลทั้งภาพ เสียง และรายละเอียดที่เป็นเอกสาร เพื่อดำเนินการนำข้อมูลชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบ ทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเร็วที่สุด ซึ่งตัวเลขผู้บาดเจ็บที่ตนได้รับทราบล่าสุดมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจบาดเจ็บทั้งสิ้น 210 นาย สาหัส 90 นาย เสียชีวิต 4 นาย เป็นทหารกองประจำการน 3 นาย และนายทหารสัญญาบัตรยศพ.อ.หนึ่งนาย
นอก จากนี้ยังมีระดับผู้บังคับกองพัน ได้รับบาดเจ็บอีกหลายท่าน นอกจากนี้ยังมีการเตรียมการเพื่อรองรับการตรวจสอบจากหน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่า ทาง ศอฉ.พร้อมรับการตรวจสอบจากกระบวนการยุติธรรมในทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ในที่ประชุมผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทุกส่วนต่างยืนยันตรงกันว่า ทหาร ตรวจ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจทุกนายปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่าง เคร่งครัด ไม่มีการยิงเข้าใส่ประชาชนด้วยอาวุธกระสุนจริงและไม่ตัดสินใจใช้อาวุธทำใน สิ่งที่เกินกว่าเหตุ ไม่ทำความสูญเสียให้สังคมและส่วนรวม
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เรื่องที่สาม การดำเนินการตั้งจุดตรวจด่านตรวจสายตรวจเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ไม่หวัง ดีนำสิ่งผิดกฎหมายหรืออาวุธร้ายแรงต่าง ๆ มาสร้างสถานการณ์ และเรื่องสุดท้ายคือ เรื่องของความเข้มงวดในมาตรการการรักษาความปลอดภัยหน่วยราชการทุกหน่วย โดยเฉพาะสถานที่ตั้งของหน่วยทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วทุกพื้นที่ ทั้งประเทศ ส่วนการดูแลพื้นที่ชุมนุมนั้น เนื่องจากเพิ่งจะมีการปฏิบัติภารกิจขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ใกล้เคียงกับกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นหน้าที่ ของตำรวจ
เมื่อ ถามถึงการดำเนินการขอคืนพื้นที่ ของทหารจนทำให้มีผู้เสียชีวิต พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เรื่องการตัดสินใจเป็นไปตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้แล้ว แต่เมื่อค่ำมืด เจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้เคลื่อนเข้าหาผู้ชุมนุม กลับขับไล่ในจุดที่เจ้าหน้าที่ทหารอยู่ให้ออกไป ซึ่งช่วงเวลาค่ำมืดถือเป็นอุปสรรคของเจ้าหน้าที่ จึงไม่ได้มีการเคลื่อนที่เข้าหา
 ต่อ ข้อถามกรณีที่ส.ส.เพื่อไทยพากลุ่ม ผู้ชุมนุมไปที่ไทยคม พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ไมมีรายงานเข้ามา เพราะเจ้าหน้าที่ในส่วนนั้นหยุดการปฏิบัติแต่มีการดูแลรักษาสถานที่ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการประกาศเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งนี้การดำเนินการกับผู้ชุมนุมจากนี้ไปคงหยุดก่อน ต้องรอฟังแนวทางและนโยบายจากรัฐบาล เพราะศอฉ.ถือเป็นกลไกของรัฐ
ผู้ สื่อข่าวถามว่า ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ใครเป็นคนตัดสินใจ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า การตัดสินใจเป็นไปตามแผนงานที่ได้กำหนดเอาไว้ แต่เมื่อค่ำมืดเจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้เคลื่อนที่เข้าหากลุ่มผู้ชุมนุม แต่เหตุปะทะที่เกิดขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามที่จะขับไล่ในจุดที่ เจ้าหน้าที่ทหารอยู่ให้ออกไป ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้ใช้อาวุธกระสุนจริง ทั้งระเบิดเอ็ม 79 ระเบิดเอ็ม 67 ระเบิดจากถังแก๊ส ทำร้ายเจ้าหน้าที่จนได้รับความสูญเสีย ฉะนั้นหากหลักปฏิบัติเป็นอย่างที่ได้ระบุว่าเท่ากับว่าส่งเจ้าหน้าที่ไปได้ รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
ต่อข้อถามกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงจับตัวไป พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า นายทหารที่ถูกจับไปมาจากกองพันทหารม้าที่ 3 และจากกองพันทหารม้าที่ 27 จำนวน 6 คน ได้รับการปล่อยตัวแล้ว 2 คน คือ จ.ส.อ.เกียงไกร บัวศรี ส.อ.เกล้า อินแพง ผู้ที่ยังไม่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวมี 4 คน คือ จ.ส.อ.สนั่น ภูดี จ.ส.อ.สุข จิตตรีเชาว์ จากกองพันทหารม้าที่ 27 ส.อ.บุญส่ง กุมภา ส.ต.วิทยา ปลายขอก ทั้งนี้ยังไม่ได้มีการต่อรอง ส่วนเจ้าหน้าที่ 2 คนที่กลับมาเรายังไม่สามารถตรวจสอบได้ชัดเจนว่า กลับมาได้อย่างไร
ไทยคมลาดหลุมแก้วยอมเชื่อมสัญญาณออกอากาศพีเพิลชาแนล
ด้านมติชนออนไลน์รายงานเมื่อเวลา 13.55 น. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำนวนกว่า 1,000 คน นำโดย นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย พ.ต.ท. .ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ แกนนำนปช. ได้เคลื่อนขบวนมาปิดล้อมสถานีบริการภาคพื้นดินดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เพื่อเรียกร้องให้มีการเปิดสัญญาณออกอากาศของสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชลแนล ท่ามกลางการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ300-400นาย
ใน ช่วงที่ตัวแทนเสื้อแดงนำโดยนายชูชีพ ได้เข้าไปเจรจา ทางกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่รั้วด้านนอกต่างรอผลเจรจาไม่ไหว ได้พังรั้งเข้าไปบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกสถานีบริการภาคพื้นดินไทยคม ลาดหลุมแก้ว
อย่าง ไรก็ตามหลังจากการเจรจาสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ก็ได้ตกลงยินยอมเชื่อมสัญญาณออกอากาศพีเพิลแชลแนลอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่เทคนิคระบุว่า ได้เชื่อมต่อสัญญาณแล้ว แต่กลุ่มเสื้อแดงยังขอปักหลักเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป เพื่อป้องกันทหารกลับมาตัดสัญญาณ ขณะที่ตำรวจก็ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว
โดยแกนนำ นปช. ได้ประกาศว่าภายใน 16.00 น. จะสามารถรับชมได้

[ปฎิทินกิจกรรม] มหกรรมศิลป ประชาธิปไตย3 : สุสานอำมาตย์

เครือข่ายเดือนตุลา เครือข่ายราษฎรนักเขียนศิลป
ินเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มศิลปินไทย เสรีชน
ขอเชิญร่วมงาน

มหกรรมศิลป ประชาธิปไตย3 : สุสานอำมาตย์

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2553 เวลา 16.30-20.30 น
กิจกรรมที่แสดงจัด โดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไต

16.30 น. ศิลปจัดวางชุด “กำแพงอำมาตย์” นำโดยธรรมศักดิ์ บุญเชิด และกลุ่มศิลปินไทยเสรีชน
17.30 น. โฟล์คซอง
18.30 น. อ่านบทกวี "แด่วีรชนคนเสื้อแดง" โดย
วัฒน์ วรรลยางกูร และกวีหนุ่มสาว ฯลฯ

10 เม.ย. 53 - ผู้ชุมนุมเสื้อแดงนำศพผู้เสียชีวิตขึ้นเวทีและโชว์อาวุธสงครามที่ยึดได้จากทหาร

เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย. 53 หลังทหารพยายามยึดพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง จากถนนดินสอใกล้กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและจากถนนตะนาวใกล้สี่แยกคอกวัวจนเกิดปะทะกับผู้ชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากนั้น ภายหลังจากที่ทหารและผู้ชุมนุมเจรจายุติการปะทะกัน บนเวทีคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศมีการนำอาวุธสงครามและเครื่องกระสุน รวมทั้งอุปกรณ์สนามของทหารที่ยึดได้มาแสดงผู้ชุมนุมเห็น และให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ นอกจากนี้มีการนำศพผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะขึ้นเวทีด้วย