วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

ณัฐวุฒิ ประกาศ ‘ถอดเสื้อแดง’ เตรียมรับมือล้อมปราบ หลังอภิสิทธิ์ปฏิเสธการเจรจา

ณัฐวุฒิประกาศอภิสิทธิ์ปฏิเสธการเจรจา ขอยุติแนวทางนี้ แจงมาตรการใหม่ ขอให้ ‘ถอดเสื้อแดง’ เป็นนักรบนอกเครื่องแบบ หลังพบเสื้อแดงถูกทำร้ายระหว่างทาง แบ่งกำลังรับมือ-ต่อสู้ทั้งในและนอกพื้นที่หากมีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ที่ราชประสงค์
 
24 เม.ย.53   นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ประกาศบนเวทีปราศรัยราชประสงค์เมื่อเวลาประมาณ 18 นาฬิกาเศษ ว่า หลังจากแกนนำกัดฟันประกาศมาตรการให้รัฐบาลยุบสภาใน 30 วันเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) ก็โดนคนเสื้อแดงหลายคนต่อว่าด่าทอ เจ็บปวด ร้องไห้ แต่ทั้งหลายที่ทำไปก็เพื่อให้การตัดสินใจนั้นไปสู่ทางออกของความขัดแย้งที่ ไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายอีก แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ได้ปฏิเสธข้อเสนอ นปช.อย่างสิ้นเชิงก็ถือว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นอันยุติ จะไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้กันอีกต่อไป “ที่ประกาศข้อเรียกร้องให้ยุบสภาภายใน 30 วัน ไม่ใช่เพราะความกลัวเหล่าอำมาตย์ หรือกลัวรัฐบาลจะใช้กำลังเข้าสลาย ตรงกันข้าม มันเป็นความกล้าที่จะยื่นข้อเรียกร้องเพื่อถอย 1 ก้าว และให้รัฐบาลถอยด้วย แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเรียกร้อง นปช. หมายความว่าอภิสิทธิ์กล้าจะใช้กำลังกับประชาชนแต่ไม่กล้าให้ความปลอดภัยกับ ประชาชน กล้าทำทุกอย่างเพื่อรักษาสถานะนายกรัฐมนตรีของตัวเอง แต่ไม่กล้าเสียสละให้ประชาชนและประเทศปลอดภัยและก้าวสู่วิถีทางประชาธิปไตย” ณัฐวุฒิกล่าว
เขากล่าวต่อว่า ทราบข้อมูลแน่ชัดแล้วว่าทันทีที่อภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอก็ได้สั่งการให้ ตำรวจ ทหารเตรียมสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ภายใน 2-3 วันนี้ พูดให้ชัดเจนก็คือนายอภิสิทธิ์น่าจะสั่งการให้มีการสลายการชุมนุมภายใน 48 ชั่วโมงต่อจากนี้ไป ฉะนั้น ต่อไปนี้เป็นมาตรการในการรับมือโดยสันติวิธี
ประการแรก เวลานี้พบว่ามีกองกำลังตำรวจ ทหารอาวุธครบมือ ตั้งด่านสกัดกั้น กดดันผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีการตรวจบัตรประชาชน ใบขับขี่ ข่มขู่คุกคามต่างๆ นานา เพื่อไม่ให้เดินทางมาร่วมชุมนุมได้ แม้ไม่ใส่เสื้อสีแดง แต่เมื่อตรวจสอบพบตีนตบ หัวใจตบ หรืออุปกรณ์ใดๆ ที่ระบุความเป็นคนเสื้อแดงก็จะถูกสกัด ถ่วงรั้ง คุกคาม นอกจากนี้ยังมีการจัดกองกำลังเถื่อนคอยลอบทำร้ายประชาชนที่ใส่เสื้อสีแดงใน ช่วงที่เดินทางมาชุมนุม หรือเดินทางกลับที่พัก เมื่อเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ และด่านก็เลือกตั้งรอบนอกให้ไกลออกไปจากราชประสงค์ และเปลี่ยนด่านทุกวัน เพื่อไม่ให้คนเสื้อแดงไปทลายด่านเปิดทางได้ หมายความว่าต้องการจู่โจมคุกคามหัวใจคนเสื้อแดง ข่มขู่ให้กลัว ลดเสรีภาพในการชุมนุม เพื่อปรับยุทธวิธีให้เข้ากับสถานการณ์จริง ขอประกาศมาตรการใหม่ว่า ต่อไปนี้คนเสื้อแดงจะถอดเสื้อแดง รบนอกเครื่องแบบ นปช. แดงทั้งแผ่นดินขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน นักรบเสื้อแดงที่จะเดินทางมาราชประสงค์ ขอให้ถอดเสื้อแดง วางตีนตบ อุปกรณ์ทั้งหลาย เป็นนักรบนอกเครื่องแบบเดินทางเข้ามาต่อสู้ร่วมกัน
“เราจะวางตีนตบ หัวใจตบ เพียงชั่วยาม เมื่อเราก้าวข้ามรบ.ชุดนี้ได้ เราจะกลับมาใส่เครื่องแบบสีแดงฉอลงชัยชนะของปชช.” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า ขอให้เริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้ แต่ถ้าหากใครยังใส่สีแดงอยู่แล้วไม่มีเครื่องแบบอื่นก็ใส่ได้อีกหนึ่งคืน อย่าถอดทันทีจะโลดโผนเกินไป และอุปกรณ์ตีนตบ สัญลักษณ์ต่างๆ จะใช้เฉพาะในบริเวณที่ชุนนุม ส่วนพ่อค้าแม่ขายที่ขายเสื้อสีแดง อย่าเพิ่งตกใจ ไม่ต้องย้อมสีเสื้อมาขายใหม่ เพียงไม่กี่วันเมื่อชัยชนะเป็นของประชาชน เราจะพร้อมใจกันใส่เสื้อแดงทั่วประเทศไทย เราจะใส่เสื้อแดงจนกว่าบ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย เป็นของประชาชน
ณัฐวุฒิกล่าวถึงมาตรการต่อมาว่า เรามีตั้งด่านป้อมค่ายคูประตูหอรบแล้ว 6 ด่าน ประตูน้ำ เพลินจิต ถนนวิทยุ อังรีดูนัง มาบุญครอง หลังสวน และอนุสาวรีย์ ร.6 หน้าสวนลุม ขออาสาสมัครมอเตอร์ไซด์ไปรายงานตัวกับแม่ทัพประจำด่านตั้งแต่คืนนี้เป็นต้น ไป เพื่อรักษาด่าน ด่านละ 2000 คัน วิธีปฏิบัติขอให้เดินทางไปยังด่านต่างๆ แล้วแจ้งความจำนงว่าท่านประสงค์จะเป็นหน่วยมอไซด์อาสา บอกชื่อและช่องทางในการติดต่อไว้
ประการที่สาม ขอให้คนเสื้อแดงในพื้นที่ทั่วไประเทศ รับฟังเวทีนี้ด้วยวิธีการใดก็ตาม ขอให้สำรวจตรวจสอบการเคลื่อนไหวของกำลังตำรวจ ทหารในจังหวัดของตน เพราะทราบว่ามีการระดมกำลังตำรวจจากแต่ละภาค ภาคละ 3 กองร้อย รวมร่วมหมื่นชีวิต บวกกำลังกับทหารเพื่อสลายการชุมนุมในกทม.  ดังนั้น หากพบการเคลื่อนกำลังมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อน ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในจังหวัด ขอให้ใช้หลักสันติวิธี ปฏิบัติการ ‘ขอนแก่นโมเดล’ หยุดปฏิบัติการนั้นทันที ไม่มีการใช้ความรุนแรง คุกคามเจ้าหน้าที่ เพียงแต่จะโบกรถถามว่าจะไปไหน ชวนคุยกันสัก 1-2 วัน
นายณัฐวุฒิกล่าววว่า ขอบอกคนเสื้อแดงว่า เราถูกปิดกั้นพีเพิลชาแนล เราถูกปิดกั้นเว็บไซต์ จนแทบไม่มีช่องทางตรงสื่อสารถึงพี่น้องเราได้ จึงขอประกาศให้ทราบพร้อมกันเพื่อกระจายข่าวไปทั่วประเทศไทย คนเสื้อแดงยังยืนยันหลักการสันติวิธี แต่หากส่งทหารมาใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม มีการลั่นกระสุนใส่ประชาชน เสื้อแดงที่อยู่นอกพื้นที่ ขอให้แสดงการต่อต้าน มีเสรีในการปฏิบัติทันที คนเสิ้อแดงอยากจะทำอะไรภายใต้หลักสันติวิธีทำโดยอิสระเสรีพร้อมกันทั่ว ประเทศทันที  ประการสุดท้าย แกนนำตัดสินใจแบ่งเป็นนนักรบกลุ่มย่อย กลุ่มละ 5 คน ขอให้แลกหมายเลขโทรศัพท์กันไว้ และอยู่ร่วมกัน  เพื่อสื่อสารกันได้ทันทีและป้องกันคนภายนอกแทรกซึมเข้ามา
"จตุพร" เปิดคำสั่ง "อนุพงษ์" เตรียมสลายชุมนุม
ก่อนหน้านี้เวลาประมาณ 15.00 น. เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. ได้แถลงข่าวด่วนว่า ตนได้รับเอกสารที่สรุปการสั่งการของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่สั่งการเมื่อคืนเรื่องสลายการชุมนุม แม้จะมีคำวินิจฉัยของศาลแพ่งมาแล้วก็ตามแนวคิดเรื่องการสลายการชุมนุมก็ยัง ไม่หยุด ตอนสายวันนี้พล.อ.อนุพงษ์ ก็ถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกเข้าพบเรื่องที่ นปช. เรียกร้องให้ยุบสภาในหนึ่งเดือน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ แจ้งว่าไม่ยุบ และสั่งให้สลายการชุมนุมในทันที พร้อมทั้งถามว่าทำได้ไหม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า กำลังรอจังหวะในการดำเนินการ นายอภิสิทธิ์จึงถามว่าดำเนินการอะไรบ้าง พล.อ.อนุพงษ์ระบุว่า ตอนนี้ได้เรียกแกนนำระดับล่างเข้ารายงานตัวเพื่อไม่ให้เสื้อแดงมาเติมที่ราช ประสงค์ แต่สาระอยู่ที่ พล.อ.อนุพงษ์ ได้สั่งให้เพิ่มกำลังตำรวจ 70 กองร้อย และให้รายงานตัวที่ กรมทหารราบที่ 11 รอ. ภายในเที่ยงวัน
ส่วน พล.ม.2 รอ.ปรับกำลัง 23 กองร้อย โดยขณะนี้ขยับเข้าจุดสวนลุมพินี นอกจากี้ยังมีการจัดกำลังจากพล1.รอ. เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว สามกองร้อย มีจักรยานยนต์ 200 คัน และรถกระบะ ส่วน พล.ร.2 และ พล.ร.9 และพล.ม.2 จะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วเป็นจักรยานยนต์กองพลละ 150 คัน ซึ่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วนี้แต่ตัวนอกเครื่องแบบและมีอาวุธครบมือคือเอ็ม 16 เอ 2 ส่วนชุดซุ่มยิงแกนนำจะแต่งตัวนอกเครื่องแบบมาปะปนกับคนเสื้อแดง 80 คน จะลงมือยิงแกนนำในวันสลายการชุมนุม
นายจตุพร ระบุว่า การปฏิบัติการจะพร้อมในเวลา 1 ชั่วโมงที่จะเข้าสลายได้ทันที การบัญชาการจะใช้เฮลิคอปเตอร์ แบล็กฮอว์ก 4 ลำ ถ้าจับแกนนำจะใช้เฮลิคอปเตอร์ชีนุก มารับทันที ในเครื่องจะมีหน่วย ฉก. 20 นายโรยตัวลงมารับ ซึ่งขณะนี้ ผบ.พลบอกพร้อมแล้วและรอคำสั่งเท่านั้น และพล.อ.อนุพงษ์ย้ำว่า ถ.สีลมทั้งสายห้ามเสื้อแดงผ่าน ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ตรียมปืนลูกซองไว้ ขณะนี้ได้แล้ว 2,000 กระบอก ส่วนที่จะนำมาเติมจากต่างจังหวัดให้นำมาประกอบที่ กทม.
“นี่ คือบันทึกรายงานจากทหารแตงโมที่ข้อมูลไม่เคยพลาด เป็นแตงโมที่อยู่ใน ศอฉ. พล.อ.อนุพงษ์ทำเป็นพูดว่าจะไม่สลายการชุมนุม แต่หลังจากนั้นไม่รู้ จ.จ. ที่ไหนสั่งเพิ่มเติม เวลานี้พล.อ.อนุพงษ์เหมือนมนุษย์สองหน้า หน้าหนึ่งรู้ว่าหากสลายความรุนแรงจะเกิดขึ้น แต่อีกด้านก็รอรับคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คนสื้อแดงพยายามมอง พล.อ.อนุพงษ์ด้วยถ้อยทีที่เห็นใจ แต่หากเลือกปราบปรามประชาชนและรักษาตำแหน่งมากกว่าชีวิตของประชาชน พล.อ.อนุพงษ์ก็จะเป็นศัตรูของประชาชนตลอดชาติ” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ที่รายงานให้ทราบเพราะเขาไม่ต้องการให้เราประมาท รัฐบาลใช้ช่วงเที่เราถอยเพื่ออธิบายว่าเราสันติวิธีโดยเปลี่ยนข้อเรียกร้อง เป็นการให้ยุบสภาในหนึ่งเดือน เพื่อเข้าสลายการชุมนม จะสังเกตได้ว่าการรายงานข่าวของสื่อขณะนี้ มีการสั่งห้ามรายงานสด และให้ถ่ายภาพข่าวช่วงไม่มีคน สถานการณ์เวลานี้ต้องไม่ประมาท วันพรุ่งนี้และวันมะรืนนี้คือหัวใจสำคัญ ชุดที่จะปราบปรามครั้งนี้ไปเชื่อดวงเมืองว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2310 เราเสียกรุงครั้งที่สอง เขาต้องจัดการก่อนวันกรุงแตก เราพร้อมจะสู้ตาย ไม่ว่าจะเอาอาวุธมากขนาดไหน และจะไม่เฉพาะ กทม. แต่จะเป็นทั่วประเทศ ด่านใดที่สกัดประชาชนวันนี้จะไปแหกด่านกันอีก
"มาร์ค"ปฏิเสธข้อเสนอเสื้อแดงยุบสภาใน30วันซัดต้องการสร้าง ภาพกับตปท.
ก่อนหน้าเว็บไซต์มติชนรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. ที่อาคารหอประชุมกิตติสุข 48 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาหารทหารบก ได้ร่วมกันบันทึกเทป รายการการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" โดยสาระของรายการที่นำเสนอ รูปแบบในช่วงแรก จะเป็นการสรุปและรายงานเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น โดยนายอภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว  และต่อจากนั้นในช่วงครึ่งหลัง ของ รายการก็จะมี นางสาว สายสวรรค์ ขยันยิ่ง ทำหน้าที่เป็นพิธีกร เพื่อดำเนินการซักถาม นายอภิสิทธิ์ และพล.อ.อนุพงษ์ เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
จากนั้น  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ หลังอัดรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯร่วมกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา  ผบ.ทบ. โดยนายกฯกล่าวกรณีแกนนำนปช.เปิดทางเจรจารอบสามแต่ให้ยุบสภา 30 วันว่า ตนไม่รับข้อเสนอดังกล่าวเพราะที่ผ่านมานปช.ก็เป็นผู้ไม่มาเจรจาเอง การยุบสภาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และหากเจรจาจริงก็ไม่เฉพาะรัฐและนปช.เท่านั้นแต่ต้องมีกลุ่มอื่นในสังคมต้อง มาหาทางออกให้ประเทศด้วย  เชื่อว่าข้อเสนอนปช.เป็นเพราะต้องการสร้างภาพกับต่างประเทศ ที่ผ่านมาก็เสนอยุบและต่อมาก็ขยายเป็น 30 วัน และบอกว่าหากไม่ทำตามจะยกระดับความรุนแรง แบบนี้ไม่สามารถทำได้
เวลา 12.15 น. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ถึงกรณีรัฐบาลส่งตัวแทนไปเจรจากับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่ง (นปช.) ว่า "ท่านนายกฯ มอบการเจรจาให้ท่านอื่นทำต่อแล้วครับ ที่คุณวีระ (นายวีระ มุกสิกพงษ์ แกนนำนปช.) บอกว่าได้หารือกับรัฐบาลแล้ว และพูดบนเวที ไม่ใช่ผมครับ"

นปช. ยื่นข้อเสนอยุบสภาใน 30 วัน - ทูต 5 ประเทศเยี่ยมคนเสื้อแดงเวทีราชประสงค์

ตัวแทนทูต 29 ประเทศฟังคำชี้แจงกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย จากนั้นตัวแทนทูต 5 ประเทศเดินทางติดตามบรรยากาศเวทีราชประสงค์ ขณะที่วีระ มุสิกพงษ์ ประกาศยื่นข้อเสนอใหม่ ยุบสภาใน 30 วัน
ทูต 29 ประเทศรับคำเชิญเพื่อไทย ฟังคำชี้แจงสถานการณ์การเมือง
เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 23 เม.ย.เวลา 15.30 น.ที่พรรคเพื่อไทย ได้มีเอกอัครราชทูต และตัวแทนทูต 29 ประเทศประจำประเทศไทย เข้าพบคณะผู้บริหารพรรค เพื่อเข้าฟังการชี้แจงสถานการณ์ในประเทศไทย ประกอบด้วย อาร์เจนตินา ชิลี ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยี่ยม บรูไน กัมพูชา สิงคโปร์ จีน สาธาณรัฐเชค เดนมาร์ค เยอรมนี กรีซ ฮังการี อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น ลักเซมเบอร์ก เนเธอแลนด์ นอร์เวย์ ไนจีเรีย โปแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ อังกฤษ อเมริกา European Commission และแอฟริกาใต้
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตที่เดินทางมาด้วยตนเองมี 2 ประเทศคือ อาร์เจนตินาและเดนมาร์ค นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายการเมือง โดยบริเวณหน้าห้องประชุมชั้น 12 ทางพรรคเพื่อไทย ได้จัดนิทรรศการรูปภาพผู้เสียชีวิตมาติดบนบอร์ดความสูงประมาณ 2 เมตร จำนวน 3 บอร์ด โดยมีข้อความระบุว่า “troops using war weapons to kill protesters” “protesters shot at with war weapons” พร้อมได้แจกเอกสารประกอบการอธิบายโดยสรุปเหตุการณ์ลำดับตั้งแต่การรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 จนถึงวันที่ 10 เม.ย.2553 และแจก VCD จำนวน 3 แผ่น ประกอบด้วย “Truth 10th who is the real killer” “red victims 10/4/10” “10 April 2010 Bangkok incident” ให้แก่ผู้แทนจากสถานทูตต่างด้วย
ในส่วนคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ประกอบ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายคณวัฒน์ วศินสังวรณ์ รองหัวหน้าพรรค และนายพิทยา พุกกะมาน คณะทำงานฝ่ายต่างประเทศพรรคเพื่อไทยได้นั่งบนเวทีด้านหน้าห้องประชุมทำ หน้าที่บรรยาย โดยเริ่มต้นให้ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. เปิด VCD “Truth 10th who is the real killer” ที่มีเสียงบรรยายเป็นภาษาไทยและมีคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เนื้อหาเป็นการอธิบายเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยเฉพาะการสลายชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงถูกสลายการชุมนุมโดยทหารทำให้มีผู้เสีย ชีวิต และบาดเจ็บ และชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลใช้สื่อของรัฐเสนอข่าวเพียงด้านเดียวว่าคนเสื้อแดง เป็นผู้กระทำและกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หลังจากพรรคเพื่อไทยชี้แจงเสร็จ ได้เชิญผู้แทนสถานทูตร่วมเดินทางไปยังสถานที่ชุมนุมยังแยกราชประสงค์และแยก ศาลาแดง ที่เกิดเหตุปะทะระหว่างกลุ่มคนเสื้อหลากสีและคนเสื้อแดงด้วย
ตัวแทนทูต 5 ประเทศสังเกตการณ์หลังเวทีเสื้อแดง
ภายหลังรับฟังคำชี้แจง ตัวแทนสถานทูต 5 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ค เบลเยียม ออสเตรีย เปรู และอาเจนตินา เดินทางไปเยี่ยมสังเกตการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่บริเวณหลังเวทีราชประสงค์ มีนายวีระ มุสิกพงษ์ ประธาน นปช. น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.รอต้อนรับหารือและชี้แจงสถานการณ์ ทั้งนี้บรรดาตัวแทนทูตได้แสดงความเป็นห่วงใยต้องการให้แต่ละฝ่ายเปิดเจรจา เพื่อหาข้อยุติให้เกิดความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้น
นายวีระ กล่าวว่า การมาเยี่ยมของทูตในที่ชุมนุมคนเสื้อแดงวันนี้นับว่าเป็นเกียรติอย่างมาก แต่ทางทูตเองก็ต้องมีความระมัดระวังยึดหลักการธรรมเนียมทางการทูต เพราะตามความเป็นจริงเขาต้องเกรงใจทางรัฐบาลอยู่เช่นกัน ทั้งนี้เมื่อมวลมิตรอารยะประเทศเขาต้องการเห็นการเจรจา ไม่อยากให้มีการสูญเสีย อยากให้มีความเป็นเอกภาพสงบในประเทศเรา ตรงนี้ล้วนเป็นความเห็นของทูตทั้งหมด
วีระประกาศข้อเสนอยุบสภาใน 30 วัน
เวลาประมาณ 17.30 น. นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ขึ้นปราศรัยบนเวที โดยสรุปผลการหารือกับคณะทูตประเทศต่างๆ ว่า การชุมนุมได้รับคำชื่นชมจากหลายประเทศ ในการใช้แนวทางสันติ อหิงสา เป็นไปอย่างถูกต้องแล้ว แต่จะต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก
ดังนั้น นปช.ยินดีเปิดการเจรจากับรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขใหม่ 3 เงื่อนไข คือ 1.รัฐบาลต้องยุติการคุกคามทุกรูปแบบ 2.มีกรรมการอิสระ เป็นกลาง สอบสวนเหตุการณ์ 10 เมษายน และ 22 เมษายน โดยรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ 3.นปช.ยินดียืดเวลาสำหรับการยุบสภาจากเดิมไปเป็นยุบสภาภายใน 30 วัน เพื่อรัฐบาลจะได้เตรียมการเท่าที่จำเป็น
ทหารหลักร้อยประจำการหน้าแยกประชาสงเคราะห์ ดินแดง
เวลา 23.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน้าแยกประชาสงเคราะห์ เขตดินแดง มีทหารออกมาประจำการอยู่ประมาณ 100 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีทหารมาประจำการที่จุดดังกล่าวมาก่อน
ที่มาบางส่วน http://www.bangkokbiznews.com, www.thairath.co.th

‘นสพ.ข่าวสด’ รายงานข่าวทหารปืนจ่อหัวตำรวจช่วงคุมสถานการณ์กลุ่มหนุนมาร์ค

นสพ.ข่าวสดรายงานมีเหตุทหารใช้ปืนจ่อหัวตำรวจที่สีลมคืนวันที่ 22 เม.ย. จริงหลังตำรวจคุมสถานการณ์กลุ่มเสื้อหลากสีใช้สิ่งของขว้างปา แต่ทหารห้ามตำรวจติดตามต่อบอกเป็นมวลชนของทหาร ด้านสื่อนอกบันทึกภาพช่วงกลุ่มเสื้อหลากสีหนีไปหลังแนวทหารได้ ‘ฐปณีย์’ แจง 'ทวิตเตอร์' เรื่องตำรวจไล่ชายฉกรรจ์ที่หนีไปหลังแนวทหารเป็นเรื่องปาระเบิดขวดไม่ใช่ เอ็ม 79 ยันรายงานข่าวยึดหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ
ข่าวสดรายงานข่าวตำรวจถูกทหารใช้ปืนจ่อหัว หลังสลายม็อบหนุนมาร์ค
วานนี้ (23 เม.ย.) เว็บไซต์ ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานข่าวกล่าวว่าตามที่มีข่าวว่ามีนายตำรวจถูกทหารใช้ปืนจี้ศีรษะระหว่าง การเข้าจับกุมบุคคลที่สร้างความวุ่นวายในบริเวณแยกศาลาแดงเมื่อคืน 22 เม.ย. โดยนายตำรวจรายนี้คือ พ.ต.ท.ไกรศรี สุวรรณงาม รอง.ผกก.ป.สน.พระโขนง ซึ่งถูกสั่งการให้มากำกับดูแลกองร้อยควบคุมฝูงชน เพื่อป้องกันการปะทะระหว่างกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อหลากสี ต่อมาในช่วงกลางคืน กลุ่มคนเสื้อหลากสีได้พยายามใช้เศษวัสดุขว้างปาใส่กลุ่มคนเสื้อแดง แต่เนื่องจากตำรวจตั้งแนวกันการปะทะอยู่ระหว่างกลุ่มคนทั้งสองฝ่าย ทำให้วัสดุต่างๆ ที่ขว้างปาโดนตำรวจเป็นส่วนใหญ่
พ.ต.ท.ไกรศรี พยายามเข้ากับกุม เพื่อไม่ให้เกิดการขว้างปาสิ่งของใส่กันอีกกลุ่มคนดังกล่าวจึงวิ่งหนี กลับเข้าไปในแนวของทหารที่อยู่ด้านหลังกลุ่มคนสีลม พ.ต.ท.ไกรศรี ได้วิ่งติดตาม แต่ถูกทหารที่ถือปืนเอ็ม16 กั้นไม่ยอมให้เข้าจับกุม แต่ พ.ต.ท.ไกรศรี ได้แหวกแนวทหารเข้าไป จนเมื่อมาถึงด้านหลังแนวทหาร ได้มีนายทหารสัญญาบัตร สวมหมวกและใส่แว่นตากันสะเก็ดระเบิด ได้เข้ามาประชิดตัว พร้อมชักปืนพกสั้นออกมาจี้ที่ศีรษะ พร้อมบอกว่าให้ออกไป คนเหล่านี้เป็นมวลชนของฝ่ายทหาร พ.ต.ท.ไกรศรี จึงแจ้งว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ก่อเหตุใช้สิ่งของขว้างปาขอเข้าจับกุม แต่นายทหารคนดังกล่าวก็ยังปฏิเสธไม่ยอม ทำให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดต้องออกมาจากแนวทหาร (อ่าน ข่าวของ นสพ.ข่าวสด ที่นี่)
ขณะเดียวกันมีผู้สื่อข่าวต่างประเทศ คือ BreakNewPress สามารถบันทึกภาพช่วงที่ตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อหลากสีด้วย แต่ในภาพบันทึกเหตุการณ์ถึงช่วงที่ตำรวจใช้โล่และกระบองผลักดันกลุ่มเสื้อ หลากสีที่หลบเข้าไปอยู่หลังแนวของทหารเท่านั้น คลิกที่นี่

ฐปณีย์แจงกรณีแกนนำ นปช. นำข้อความทวิตเตอร์ไปขยายผลคาดเคลื่อน
นอกจากนี้ในการรายงานของเน ชั่นทันข่าวเมื่อวานนี้ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวรายการข่าว 3 มิติ ของช่อง 3 ก็เผยแพร่คำชี้แจงไปยังสื่อมวลชนกรณีการทวิตข่าวผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์เมื่อ คืน 22 เม.ย. ซึ่งเป็นการรายงานเหตุการณ์เดียวกับกรณีของ พ.ต.ท.ไกรศรี โดยมีรายละเอียดดังนี้
“สืบเนื่องจากกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มนปช.ได้นำข้อความในทวิตเตอร์ของดิฉัน น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวรายการข่าว3 มิติ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งใช้นามว่า @yam3miti หรือ @thapanee3miti ที่ระบุเรื่องตำรวจถูกทหารใช้ปืนจ่อหัวไปเรียกร้องให้ ศอฉ.ออกมาชี้แจงในเรื่องนี้ และถูกนำไปตีความในหลายประเด็น
ดิฉันขอชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้ ดิฉันไม่เคยรายงานข่าวว่า ทหารเป็นผู้สร้างสถานการณ์ให้เกิดระเบิด m79 บริเวณย่านสีลมเมื่อคืน วันที่ 22 เมษายน และไม่เคยรายงานกล่าวหาประชาชนชาวสีลมหรือ ประชาชนกลุ่มเสื้อหลากสีว่ายั่วยุให้เกิดความรุนแรงโดยใช้ระเบิดขวด ตามที่มีการเผยแพร่และวิพากษ์วิจารณ์กันในเว็บไซด์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้จากข้อความในทวิตเตอร์ของดิฉัน ซึ่งมีการส่งข้อความอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 22 เมษายน จนถึงเช้าวันที่ 23 เมษายน แต่ดิฉันได้ทวิตข้อความข่าวที่ระบุว่า “นี่คือข้อเท็จจริงจากปากคำตำรวจยอมรับไล่กลุ่มชายฉกรรจ์ 20 คน ที่ปาระเบิดขวดวิ่งหนีไปหลังแนวทหารแต่กลับถูกทหารเอาปืนจ่อหัวบอกไม่ต้อง ตามไป” จริง แต่ไม่เคยระบุเลยว่าทหารเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความรุนแรง ซึ่งได้ส่งข้อความย้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือในช่วงเวลาหลัง 22.30 น.และเป็นกรณีกลุ่มก่อกวนปาระเบิดขวดไม่ใช่เรื่องระเบิด m79 หลายครั้ง ดังปรากฏอยู่ในทวิตเตอร์
ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นความเข้าใจผิดในการส่งต่อข้อความ จาก ทวิตเตอร์ไปในแหล่งอื่นๆทางอินเตอร์เน็ตจนเกิดความเข้าใจต่อสถานการณ์คลาด เคลื่อน ซึ่งหากติดตามข้อความในทวิตเตอร์ของดิฉันจะเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดว่าดิฉันไม่ได้บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือกล่าวหาผู้ใดโดยไม่มีหลักฐาน เนื่องจากการส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารเฉพาะกลุ่ม แต่สามารถส่งต่อไปถึงเพื่อนกลุ่มอื่นได้ ซึ่งในปัจจุบันผู้สื่อข่าวนิยมส่งข่าวผ่านทวิตเตอร์เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร กันทำให้สามารถติดตามข่าวสารได้อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงเกิดสถานการณ์ทางการเมืองนักข่าวหลายสำนักก็มักจะส่งข้อ ความ ผ่านทวิตเตอร์และติดตามกัน รวมทั้งตัวดิฉันด้วย จึงเป็นเหตุให้ข้อความต่างๆถูกส่งต่อไปได้ง่ายโดยผ่านการติดตามข้อความที่ ต่อเนื่อง ซึ่งการรายงานข่าวในทวิตเตอร์เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ เสนอข่าวในรายการข่าว 3 มิติ หรือการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 แต่อย่างใด เป็นการรายงานสถานการณ์สดผ่านมือถือส่วนตัวเท่านั้นไม่ได้ดำเนินการเป็น ธุรกิจหรือเพื่อประโยชน์ของใคร
ดิฉันขอยืนยันว่า ด้วยเกียรติของการทำหน้าที่สื่อมวลชนมา 10 ปี ไม่เคยคิดร้ายกับประเทศชาติและเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ห่วงใยต่อสถานการณ์บ้าน เมือง ไม่เคยคิดที่จะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงหรือซ้ำเติมสถานการณ์ของประเทศ ทำงานโดยยึดหลักของความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณในวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างดีที่สุด ทั้งการให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง การเสนอข่าวอย่างรอบด้าน เป็นกลาง และไม่กล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน แม้ในบางสถานการณ์จะทำงานด้วยความยากลำบากก็ตาม แต่พยายามทำหน้าที่สื่อมวลชนให้ดีที่สุด
โดยไม่คิดว่าข้อความเพียงไม่กี่ข้อความในทวิตเตอร์จะนำมาซึ่งการวิพากษ์ วิจารณ์ต่างๆ ในสังคม หากข้อความใดทำให้ผู้อื่นเสียหายก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แต่ยืนยันว่าทุกคำพูดผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอไปสู่สาธารณะ โดยทุกคนที่กล่าวอ้างมีตัวตนเอง ซึ่งได้ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อสิ่งพิมพ์หลายสำนักและผู้สื่อข่าวที่อยู่ร่วม เหตุการณ์ด้วย รวมทั้งได้รายงานไปตามสถานการณ์ที่เห็นจริง ไม่ได้แต่งเติมข้อความใด ๆ
จึงขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการติดตามข้อมูลให้ครบถ้วน โดยเฉพาะกรณีข่าวระหว่างตำรวจกับทหาร เป็นข้อเท็จจริงที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว ซึ่งดิฉันเองก็พร้อมรับผิดชอบกับการทำหน้าที่ครั้งนี้”

สื่อค่ายเหลืองปั่นต่อ วิจารณ์ฐปณีย์หนัก
อย่างไรก็ตาม การชี้แจงของ น.ส.ฐปณีย์ ยังคงถูกนำไปบิดเบือนใน “รายงานการเมือง” ของผู้ใช้นามปากกาว่า “แสงตะวัน” เผยแพร่ใน ASTVผู้ จัดการออนไลน์ ที่ระบุว่า น.ส.ฐปณีย์ทวิตว่า “เห็นทหารเอาปืนจ่อหัวตำรวจที่วิ่งไล่จับผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นผู้ยิง เอ็ม 79 ใส่ ประชาชนที่สีลม” พร้อมทั้งวิจารณ์ น.ส.ฐปณีย์ อย่างหนัก ทั้งที่ น.ส.ฐปณีย์ทวิตเมื่อ 00.30 น. ของวันที่ 23 เม.ย. ใน @thapanee3miti status ที่ 12652676359 ว่า “นี่คือข้อเท็จจริง จากปากคำตำรวจยอมรับไล่กลุ่มชายฉกรรจ์20 คนที่ปาระเบิดขวดวิ่งหนีไปหลังแนวทหารแต่กลับถูกทหารเอาปืนจ่อหัวบอกไม่ต้อง ตามต่อไป” ซึ่งเป็นเรื่องการรายงานเหตุการณ์ปาระเบิดขวด ไม่ใช่เหตุการณ์ยิง M 79 อย่างที่ ASTVผู้จัดการออนไลน์นำเสนอแต่อย่างได้
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) น.ส.ปฐณีย์ทวิตว่า “น้อมรับทุกคำวิจารณ์และข้อกล่าวหา คงไม่สามารถบอกให้ใครเชื่อว่าเป็นนักข่าวไม่มีสีขอให้ผลงานและกาลเวลาเป็น เครื่องพิสูจน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ”
“หากการทวิตข่าวทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของชาติก็พร้อมแสดง ความรับผิดชอบไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดแต่ขอรักษาไว้ซึ่ง เสรีภาพในวิชาชีพ”
“ย้ำหากสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเติมเชื้อไฟและถูกมองว่า เป็นสิ่งเลวร้ายมากก็ขอแสดงความรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวคะ” ทวิตเตอร์ของฐปณีย์ระบุ

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ศาลยกฟ้อง! ประชาไทร้องขอเปิดเว็บ ชี้ รัฐมีอำนาจปิดกั้นตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ศาลแพ่งยกฟ้อง มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน เจ้าของเว็บประชาไท ร้องนายกฯ ขอให้รัฐเปิดเว็บไซต์ และชดใช้เรียกค่าเสียหาย ชี้ รัฐมีอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
      
       วันนี้ (23 เม.ย.) เมื่อเวลา 18.00 น.ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านพิพากษาในคดีที่ 1455/2553 ที่มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน โดย น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศอฉ., ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงการคลัง เป็นจำเลยที่ 1-5 เรื่อง ละเมิด
      
       คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเว็บไซต์ข่าวประชาไท มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ข่าวสารแก่ประชาชนทั่วไป โดยเมื่อวันที่ 7 เม.ย.53 จำเลยที่ 1 ได้ประกาศแถลงการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในเขต กทม.และจังหวัดใกล้เคียง และยังได้ประกาศจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยแต่งตั้ง จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการ ต่อมาจำเลยที่ 2 มีคำสั่งให้ จำเลยที่ 3 สั่งปิดกั้นเว็บไซต์ของโจทก์ จำเลยที่ 3 จึงสั่งให้จำเลยที่ 4 ปิดกั้นเว็บไซต์ของโจทก์ ภายใต้ของการควบคุมกำกับของจำเลยที่ 1 อันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของโจทก์ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 45 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปิดกั้นเว็บไซต์ของโจทก์ และให้จำเลยที่ 1-4 เปิดการเข้าถึงเว็บไซต์ข่าวประชาไท และให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.53 และให้ชดใช้ค่าเสียหายรายวัน วันละ 20,000 บาท นับจากวันที่ 23 เม.ย. 53 ซึ่งเป็นวันฟ้อง จนกว่าจะหยุดกระทำ
      
       ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีเจตนารมณ์ให้อำนาจ นายกรัฐมนตรี โดยการเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรี ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักร หรือในเขตบางท้องที่ ตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์ ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อวันที่ 7 เม.ย.53 เป็นการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ระบุไว้ แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 45 วรรค 4 ที่ว่าการห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่น เสนอข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมด หรือบางส่วน หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำไม่ได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของ รัฐ และอื่นๆ แต่ก็ได้ให้อำนาจแก่จำเลยที่ 1-2 ตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1- 2 จึงอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะ รมว. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้ดำเนินการตามคำสั่ง โดยอาศัยอำนาจของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลย 1-3 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย 4-5 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐได้ พิพากษายกฟ้อง

 ที่มา:http://www.manager.co.th

ศาลแพ่งกำลังไต่สวนกรณีประชาไทถูกปิดโดยคำสั่ง ศอฉ.

เวลา 17.00 น. ศาลแพ่งเปิดให้มีการไต่สวนที่ห้องที่ห้อง 703 ศาลแพ่งรัชดาฯ ชั้น 7 กรณีที่เว็บไซต์ประชาไทร้องขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หลังถูกสั่งปิดโดยนานสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ( ศอฉ.) ตั้งแต่วันที่  9 เม.ย. ที่ผ่านมา
ผู้เข้าเบิกความได้แก่ บรรณาธิการและผู้อำนวยการ ประชาไท นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน

สื่อต่างประเทศ : เจ้าหน้าที่ร้องเสื้อแดงปลดแนวกั้น

23 เม.ย. 2553 - สำนักข่าวรอย เตอร์รายงานว่า ในช่วงเช้าของวันที่ 23 เกิดความตึงเครียดขึ้นที่สีลมอีกครั้งเมื่อมีกลุ่มตำรวจเดินไปใกล้ ๆ จุดที่เสื้อแดงตั้งแนวสกัดกั้นอยู่ โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่เรียกร้องให้เสื้อแดงถอนแนวสกัดกั้นออก ทำให้มีผู้ชุมนุมบางส่วนมารวมตัวกันหน้าแนวกั้น มีบางคนคนปีนแนวป้องกันซึ่งส่วนใหญ่ทำจากยางรถยนต์และเทของเหลวซึ่งช่า วภาพบอกคาดว่าจะเป็นเชื้อเพลิงราด จนในเวลาต่อมากลุ่มตำรวจก็ถอยห่างจากแนวป้องกันของเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อแดงก็ถอยกลับเต็นท์
ด้านผู้สื่อข่าวเอลา คัลลาน ของอัลจาซีร่า รายงานจากกรุงเทพฯ ว่า สถานการณ์มีความซุ่มเสี่ยง ประเทศไทยเริ่มแบ่งแยกกันชัดเจนมาก รัฐบาลก็กำลังถูกกดดันจากกลุ่มคนภายในรัฐบาลและประชาชนบางส่วนภายนอกที่ เรียกร้องให้มีการปราบปรามผู้ชุมนุม และยากมากที่รัฐบาลจะกระทำได้โดยไม่มีการสูญเสียชีวิต
ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลไทยบอกกับอัลจาซีร่าว่า เขาจะให้เวลาคนเสื้อแดงจนถึงราว 22.00 น. ในวันนี้ (23) ในการรื้อถอนแนวป้องกัน หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม ก็จะมีการ "ผลักให้พวกเขากลับไปที่เขตเดิม" แต่จะมีการดำเนินการเจรจาก่อน
โดยขณะที่สุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวถึงเหตุระเบิดที่สีลมในช่วงค่ำของวานนี้ (22) ว่าเป็นระเบิด M79 ที่ยิงมาจากฝั่งผู้ชุมนุมเสื้อแดง แต่ ฌอน บุญประคอง โฆษกของเสื้อแดงบอกอัลจาซีร่าว่า "รัฐบาลด่วยสรุปเกินไปในการกล่าวหาฝ่ายเสื้อแดงก่อเหตุรุนแรงเมื่อคืนนี้"
ฌอน กล่าวอีกว่าทางกลุ่มเสื้อแดงเปิดรับการเจรจาในแบบที่มีตัวกลางที่น่าเชื่อ ถืออย่างสหประชาชาติ เพราะจนถึงตอนนี้รัฐบาลสูญเสียความชอบธรรม และก้ไม่ได้รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้

ระเบิดหลายลูกที่สีลม-ทหาร ปจว.-สุเทพประณามทันควันว่าแดงทำ

เกิดระเบิดที่สีลมหลายครั้งคนตาย-เจ็บระนาว ทหาร ปจว.ประณามเสื้อแดงทันที-ทำกลุ่มหนุนมาร์คฮือทำร้ายแท็กซี่ที่หลงเข้าสีลม ด้าน ‘สุเทพ’ แถลงทันควันฝีมือเสื้อแดงลั่นจะส่งเจ้าหน้าที่เคลียร์ ส่วนสื่ออิสระสัมภาษณ์ตำรวจเชื่อยิงมาจากอาคารสูงไม่ใช่จากสวนลุมพินี ด้าน ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ เสียใจต่อผู้สูญเสีย พร้อมประณามมือยิง M-79



ระเบิดลง BTS ศาลาแดง ทหาร ปจว. ประณามเสื้อแดงทันที
ระหว่างที่มีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อหลากสีหรือผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 19.50 น. ได้มีเสียงที่อาคารสถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง ซึ่งด้านล่างของอาคารสถานีรถไฟฟ้า เป็นพื้นที่ของผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะชุมนุมกันอยู่
โดยระเบิดตกใส่หลังคาของสถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง ซึ่งขณะนั้นมีประชาชนจำนวนมากรอรถไฟฟ้า ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน คือ นายบุญเกียรติ ศรีโพธิ์งาม นางณัฐนันท์ แก่งไม้ และชาวต่างชาติไม่ทราบชื่ออีก 1 คน โดยทหารได้นำลวดหนามมากั้นบริเวณพื้นที่กันคนเข้า
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ทหาร ปจว. ได้ประกาศผ่านรถติดเครื่องขยายเสียงว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำชองกลุ่ม เสื้อแดง แกนนำคนเสื้อแดงจะต้องรับผิดชอบ ทำให้ผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุนนายอภิสิทธิ์แสดงความไม่พอใจคนเสื้อแดง
เกิดระเบิดอีก 2 ลูกคนเจ็บระนาว
ต่อมาเวลา 20.30 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีก 1 ครั้ง เป็นระเบิดลูกที่ 4 ที่บริเวณแยกศาลาแดง ใกล้โรงแรมดุสิตธานี มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 1 คน เป็นชาวต่างชาติ โดยในเวลา 20.30 น. สถานี BTS ศาลาแดง และ สถานี BTSสนามกีฬาแห่งชาติ งดให้บริการชั่วคราว
ต่อมาเวลา 20.45 น. เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง ด้านหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา ถนนสีลม อีก 1 ลูก มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกนับสิบคน โดยผู้เห็นเหตุการณ์บางคนอ้างว่าเห็นไฟเปิด-ปิดอยู่บริเวณชั้น 5 โรงพยาบาลจุฬาฯ และสักครู่ก็มีคนกระโดดออกจากหน้าต่างมายืนริมระเบียง จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นลูกสุดท้าย ที่บริเวณหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสีลม โดยเอ็ม 79 ได้แฉลบต้นไม้ก่อนจะลงมาที่ด้านหน้าธนาคาร อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนผู้ไม่เกี่ยวข้องให้รีบออกจากพื้นที่ เพราะไม่ทราบว่าจะมีระเบิดลงในจุดใดอีกหรือไม่
สื่ออิสระตั้งปมวิถีการยิงมาจากอาคาร
ทั้งนี้จากคลิปข่าวของผู้สื่อข่าวอิสระกลุ่ม “Thailandmirror” [http://www.youtube.com/watch?v=ioOrreuQ94c] ได้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งหลังเหตุระเบิดซึ่งระบุว่าระเบิดที่ เกิดขึ้นน่าจะยิงมาจากอาคาร ไม่ได้มีการยิงมาโดยผู้ชุมนุมที่อยู่ฝั่งสวนลุมพินี
ส่วนภาพข่าวของผู้ใช้ชื่อว่า “BreakNewsPress” [http://www.dailymotion.com/video/xd1i3v_users-olivierrotrou-desktop-201004_news?start=0] พบว่าหลังจากเกิดเหตุระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารบนสถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดงช่วยกันปฐมพยาบาลผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บ และทหารที่มีอาวุธปืนประจำกายได้ย่อตัวนั่งลง และมองออกมุมเงยออกไปนอกอาคารสถานีรถไฟฟ้า
นอกจากนี้เมื่อเวลา 18.35 น. ผู้สื่อข่าวประชาไทยังสามารถถ่ายภาพบุคคลอย่างน้อย 3 คนขึ้นไปอยู่บนยอดตึกซีพีทาวเวอร์ซึ่งอยู่ตรงกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ของบุคคลกลุ่มดังกล่าว (อ่านข่าว http://www.prachatai.net/journal/2010/04/29086)
ทหารสั่งฝ่ายหนุนมาร์คจับคนขับแท็กซี่มาสอบ ก่อนช่วยกันรุมประชาทัณฑ์
นอกจากนี้เมื่อเวลา 21.10 น. มีรถแท็กซี่เขียว-เหลือง ทะเบียน มฉ 5214 กรุงเทพมหานคร มีผู้โดยสารนั่งมาในรถ 1 คน พยายามวิ่งเข้ามาในถนนสีลม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร และกลุ่มผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ที่ยังเหลืออยู่กรูกันเข้ามาห้ามไม่ให้เข้า มา แต่คนขับไม่ยอมยังคงพยายามจะขับเข้ามา ทหารจึงตะโกนให้ช่วยกันรุมจับ เพราะเกรงจะเป็นคาร์บอมบ์ ส่วนคนสีลมได้วิ่งเข้ามาทุบรถจนได้รับความเสียหาย โดยผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ได้ช่วยกันรุมประชาทัณฑ์คนขับรถแท็กซี่คนดัง กล่าว ก่อนที่ทหารจะควบคุมตัวคนขับรถไปสอบ
ต่อมามีคนผูกผ้าพันคอสีแดงเดินเข้ามาทางถนนสีลม ก่อนจะวิ่งเข้าไปในอาคารของธนาคารซีไอเอ็มบี เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เห็นจึงโกรธแค้นและเข้าทำร้าย มีการกระชากผ้าพันคอมาจุดไฟเผา ก่อนที่ทหารคุมตัวชายคนดังกล่าวไป
ต่อมาเมื่อเวลา 21.20 น. กลุ่มผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ได้ปิดล้อมอาคารห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สีลม เนื่องจากพบเห็นว่ามีคนใส่เสื้อสีแดงวิ่งขึ้นไปบนลานจอดรถ หลังก่อนหน้านี้มีทหารนอกเครื่องแบบเดินลงมาจากอาคารดังกล่าวและเกือบถูกคน สีลมรุมทำร้าย
ต่อมาทหารกว่า 30 นาย ได้ขึ้นไปตรวจสอบบริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ประมาณ 10 นาที พบชาย 2 คน หญิง 2 คน ซึ่งเป็นพนักงานอยู่บนอาคาร แต่ไม่กล้าลงมา ทหารจึงพาลงมาระหว่างนั้นมีตำรวจพยายามจะเข้าไปร่วมตรวจค้น แต่ถูกคนสีลมด่า พร้อมทั้งผลักให้ออกไปไม่ให้เข้ามายุ่ง โดยตะโกนด่าทอว่าเป็นตำรวจมะเขือเทศ
หลังจากได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นที่บริเวณสี ที่บริเวณการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่ปักหลักอยู่ด้านสวนลุมพินีมีการจุดพลุ ส่วนที่บริเวณเวทีราชประสงค์มีการจุดพลุตะไลพุ่งขึ้นท้องฟ้า 3 ลูก รวมถึงปล่อยโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เนื่องจากมีเฮลิคอปเตอร์ของ ศอฉ. บินเข้ามาในที่ชุมนุม
จับผู้ต้องสงสัยได้ 5 คน พบเป็นกลุ่มหนุนมาร์ค


นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่ได้ 5 คน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ประกอบด้วย นายอดิศักดิ์ กาละลา พนักงานบริการเชื้อเพลิง ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยจับกุมได้ที่บริเวณสีลมซอย 6 จาการตรวจค้นพบกล้องดิจิตอล และกล้องวีดีโอ โดยทั้งสองกล้องมีการบันทึกภาพการทำงานของทหาร นอกจากนั้นคือนายกิตติ เกเจริญ อายุ 43 ปี นายวีระพล แก่นภักดี อายุ 22 ปี นายวีระพงศ์ พันธ์วิเศษ อายุ 30 ปี โดยในตัวผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้มีอาวุธเช่นลูกแก้ว น็อต หนังสติ๊ก จากการสอบสวนทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ถูกจับกุมบริเวณซอยคอนแวน ส่วนสาเหตุที่ทหารจับกุมเพราะนายกิตติ ถอดเสื้อร้องโวยวายเพราะแค้นที่เพื่อนได้รับบาดเจ็บจากระเบิด
ส่วนรายสุดท้ายคือ นายจตุรงค์ นพกิ่ง อายุ 36 ปี เป็นคนเสื้อแดงที่เดินทางมาจากคลองเตยเพื่อมาชุมนุม แต่เข้ามาในเขตคนสีลมจึงถูกทหารควบคุมตัวไว้ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวบุคคลทั้งหมดไปทำประวัติก่อนจะปล่อยตัว
กลุ่มหนุนมาร์ครวมตัวใหม่ปาของโต้เสื้อแดงอีกรอบ
เวลา 22.40 น.กลุ่มผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ประมาณสิบคนกลับมารวมตัวกันหน้าธนาคารกรุง ศรีอยุธยา สาขาสีลม ด้วยอารมณ์โกรธแค้น พร้อมทั้งเคลื่อนขบวนตะโกนด่าเสื้อแดง และหยิบก้อนหิน ขวดน้ำ ขว้างปาเข้าใส่กลุ่มเสื้อแดงที่อยู่ด้านศาลาแดง แต่คนเสื้อแดงได้เข้าที่กำบังและขว้างปาตอบโต้ ทำให้ฝ่ายสนับสนุนอภิสิทธิ์ซึ่งไม่มีที่กำบังได้หนีกลับเข้ามาอยู่ในถนนสีลม
เวลา 00.02 น. ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารออกมาตรึงกำลังเต็มพื้นที่อยู่กลางแยกศาลาแดง และขอให้กลุ่มสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ถอยมาจากแนวปะทะ โดยคนเสื้อหลากสีได้ทยอยเดินกลับไปฝั่งสีลม ทั้งนี้ ปิดการจราจรทั้งหมดตั้งแต่แยกศาลาแดงถึงแยกมเหศักดิ์
ผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 รายเจ็บระนาว
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้บาดเจ็บ 75 คน ส่วนผู้เสียชีวิต 1 คน อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ทั้งนี้ ตัวเลขผู้บาดเจ็บยังไม่นิ่ง เพราะมีการลำเลียงผู้บาดเจ็บเข้ามาเรื่อยๆ โดยผู้บาดเจ็บขณะนี้อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ 20 คน โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน 31 คน โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ 2 คน โรงพยาบาลเลิดสิน 8 คน โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ 1 คน และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช 1 คน
นพ.ชาตรี เจริญชีวกุล ผอ.สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงชื่อ น.ส.ธัญญานันท์ แถบทอง โดนสะเก็ดระเบิดที่หน้าอกและใบหน้า เสียชีวิตก่อนมาถึงที่ รพ.จุฬาฯ โดยล่าสุดขณะนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 รายแล้ว
สุเทพแถลง M79 ยิงจากหลังอนุสาวรีย์ ร.6 ที่คนเสื้อแดงชุมนุม
เวลา 23.33 น. ที่ ศอฉ. ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า สุเทพ เทือกสุบรรณแถลงข่าวว่า ตามที่มีข่าวว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะเข้าไปบุกรุกพื้นที่สีลม ทางรัฐบาลได้พยายามวางมาตรการที่จะดูแลป้องกันให้ความปลอดภัยกับพี่น้อง ประชาชนที่ประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่สีลม โดยการส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าไปให้การคุ้มครองพี่น้องประชาชน ตั้งแต่ 2 วันที่ผ่านมา เหตุการณ์ก็เรียบร้อยมาด้วยดี
จนกระทั่งค่ำวันนี้เมื่อสักครู่ที่ผ่านมานี้ได้เกิดเหตุที่น่าเสียใจขึ้น คือได้มีคนร้ายใช้อาวุธ M 79 ยิงเข้าใส่พี่น้องประชาชนชาวสีลม เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รัฐบาลขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์โดยทันทีทันควัน พี่น้องประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นจะสังเกตเห็นได้ว่าได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งติดกล้องถ่ายภาพกลางคืนขึ้นไปบินวนสังเกตการณ์เพื่อคุมสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายได้ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ร้ายซ้ำเติมพี่น้อง ประชาชนขึ้นมาอีก
รัฐบาลมีความห่วงใยในความปลอดภัย ของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง อยากจะขออนุญาตใช้โอกาสนี้กราบเรียนวิงวอนพี่น้องประชาชนที่เคารพรักทั้ง หลาย ที่อยู่บริเวณสีลมด้านหน้าได้โปรดถอยร่นออกจากแนวถนนด้านที่ติดกับกลุ่มผู้ ชุมนุม เพื่อความปลอดภัยของพี่น้อง ระยะยิงของ M 79 ประมาณ 400 เมตร เพราะฉะนั้นถ้าพี่น้องได้ถอยลึกเข้าไปตามแนวถนนสีลม ก็จะพ้นจากระยะการยิงของ M 79
จากการตรวจของเจ้าหน้าที่ชัดเจน ว่าทิศทางที่ยิงปืน M 79 มานั้น มาจากหลังบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 คือด้านที่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมกันอยู่ เพราะฉะนั้นอยากจะขอความกรุณาพี่น้องประชาชน อาจจะมีอารมณ์ อาจจะมีความรู้สึก แต่ต้องขอความกรุณาว่าเพื่อความปลอดภัยของพี่น้อง โปรดถอยร่นลงไปจากแนวนั้น ให้โอกาสเจ้าหน้าที่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ วันนี้ขณะนี้เป็นเวลากลางคืน ไม่เป็นการสะดวกสำหรับเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ในบริเวณที่เป็น จุดที่ตั้งของปืน M 79 ที่จะยิงมา แต่ว่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่ละความพยายาม ขณะนี้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก และบรรดาผู้ที่รับผิดชอบทั้งหลายก็ยังนั่งบัญชาการแก้ไขสถานการณ์อยู่ถ้ามี ความคืบหน้าในเรื่องนี้อย่างไรจะกราบเรียนชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้ รับทราบในลำดับต่อไป
ส.ส.ปชป.เชื่อคนยิง M79 คือเสื้อแดง พิชญ์เรียกร้องพูดอะไรต้องมีหลักฐาน
เวลาประมาณ 23.50 น. ในรายการตอบโจทย์ช่องทีวีไทย ดำเนินรายการโดยนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา แขกรับเชิญของรายการคือ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.ปชป.กล่าวผ่านว่าการยิง M79 เป็นฝีมือคนเสื้อแดงมาจากอนุสาวรีย์ ร.6 แน่นอนเพราะคนเสื้อแดงพูดเรื่องแก้วสามประการ
ด้าน ส.ว.สรรหาไพบูลย์ นิติตะวันชี้มีผู้ก่อการร้าย เป็นภัยต่อชีวิต ทรัพย์สิน ประเทศชาติราชบัลลังก์ ต้องใช้วิธีเด็ดขาด ด้านนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์จุฬาฯ เรียกร้องว่าในสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรกล่าวหาผู้อื่นโดยยกทฤษฎี แต่โปรดหาหลักฐานก่อน
ต่อมานายพิชญ์ ได้ถาม นายวิรัตน์ว่า ทำไมไม่สามารถตั้งกรรมการสอบเหตุการณ์ 10 เม.ย. ในสภาได้ นายวิรัตน์ตอบว่ายอมให้ตั้งกรรมการสอบสวนไม่ได้ เพราะ ส.ส.เพื่อไทยจะเตรียมซีดีที่มีการตัดต่อ และเตรียมกระสุนมาเป็นหลักฐาน ซึ่งไม่รู้เอาเองมาจากบ้านหรือเปล่า
ส่วนนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.ระบบสรรหาบอกอย่าไปหวังกับรัฐสภา เพราะ ส.ว. และ ส.ส.ไม่บริสุทธิ์ และต้องไม่ลืมว่ามีแก้ว 3 ประการที่ทักษิณกำหนดไว้ ดังนั้นฝ่ายความมั่นคงต้องไปจัดการกับผู้ก่อการร้าย พร้อมเรียกร้องให้เสื้อแดงสลายการชุมนุมเพราะสวนลุมพินีเป็นที่ซ่องสุมคลัง อาวุธ ทำให้นายพิชญ์ถามว่านิยามว่าใครคือผู้ก่อการร้าย นายไพบูลย์ตอบว่าเป็นกลุ่มที่ติดอาวุธ ใส่ชุดดำ และอยู่ในที่ชุมนุมคนเสื้อแดง ไม่ใช่ว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ผู้ก่อการร้ายถือว่ารวมแกนนำทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับเพราะเป็นผู้สนับ สนุนผู้ก่อการร้าย มีผู้ก่อการร้ายเป็นกองกำลัง อาวุธก็ต้องอยู่ในนั้น หลักฐานก็ต้องอยู่ในนั้น
ด้านนายวิรัตน์ กล่าวว่า พรุ่งนี้จะมีมหาประชาชนออกมาต่อต้านการก่อการร้าย เรียกร้องให้แกนนำเสื้อแดงรับผิดในฐานะผู้ก่อการร้ายและปล่อยให้คนเสื้อ แดงกลับภูมิลำเนา เพราะแกนนำเสื้อแดงมีการยึดบัตรประชาชนและยึดเสื้อทำให้ผู้ชุมนุมกลับบ้าน ไม่ได้
จตุพรเสียใจต่อผู้สูญเสีย ประณามผู้ยิง M-79
และเมื่อเวลา 00.20 น. ที่เวทีการชุมนุมคนเสื้อแดงแยกราชประสงค์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงปราศรัยที่แยกราชประสงค์แสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียและประณาม ผู้ยิง M-79 และกล่าวว่าไม่ต้องการให้มีใครต้องมาสูญเสียชีวิตซ้ำร้อยกับที่คนเสื้อแดง ถูกปราบปรามเมื่อ 10 เม.ย.
สำหรับการเดินรถของรถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน ในวันนี้สถานีรถไฟฟ้า BTS เส้นทางสายสีลม จะให้บริการเดินรถเฉพาะใน 5 สถานี ทั้งขาไปและขากลับ โดยเริ่มต้นจากสถานีช่องนนทรี ไปยังสถานีสุรศักดิ์ ตากสิน กรุงธนบุรี และสิ้นสุดที่วงเวียนใหญ่ ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ขบวนรถเที่ยวสุดท้ายจะออกจากสถานีปลายทาง 18.00 น.
ส่วนเส้นทางสายสุขุมวิท จะเดินรถเที่ยวแรก 06.00 น. เที่ยวสุดท้ายจะออกจากสถานีปลายทาง 18.00 น. เริ่มต้นจากสถานีหมอชิต ไปยังปลายทางอ่อนนุช โดยจะให้บริการทุกสถานี
ขณะที่รถไฟฟ้าใต้ดินจะให้บริการ 9 สถานี ตั้งแต่สถานีศูนย์วัฒนธรรม-บางซื่อเท่านั้น โดยงดให้บริการ 9 สถานีตั้งแต่ หัวลำโพง-พระราม 9 เนื่องจากห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะเป็นพื้นที่ปิด

มาร์คเผย ‘ชุดขาว’ จะมาแทน ‘ชุดดำ’ แฝงตัวพร้อมอาวุธในกลุ่มคนเสื้อแดง

วันนี้ (22 เม.ย.) เวลา 19.00 น. ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขสถานการณ์การชุมนุมว่า ขณะนี้เหตุการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงกักตัวเจ้าหน้าที่ทหารและยึดรถลำเลียง อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่จังหวัดขอนแก่นได้คลี่คลายแล้ว
มาร์คลั่นมุ่งมั่นบังคับใช้กฎหมายพร้อมกับแก้ปัญหาการชุมนุม
พร้อมๆ กันนั้นในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายเมธี อมรวุฒิกุล นักแสดงและนายแบบ ในข้อหาครอบครองอาวุธที่ได้จากกองทัพ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทั้งนี้ขอยืนยันว่ารัฐบาลยังมุ่งมั่นในการที่จะบังคับใช้กฎหมายควบคู่ไปกับ การแสดงให้เห็นว่ายังมีปัญหาอยู่ค่อนข้างมาก จากการที่มีบุคคลที่ร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างชัดเจน ถูกจับกุม มีการครอบครองอาวุธ และเมื่อจับกุมเสร็จกลุ่มคนเสื้อแดงกลับพยายามที่จะปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยว ข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งตรงนี้ก็มีประเด็นที่ตามมามากมาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีความห่วงใยเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับประชาชนย่าน สีลม ที่บริเวณศาลาแดงต่อเนื่องมาถึงพื้นที่ที่มีการชุมนุม เพราะฉะนั้นวันนี้ได้มีการกำชับและปรับแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ที่ให้สามารถแยกกลุ่มคนสองกลุ่มให้ออกจากกันให้ได้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการที่จะมีการปะทะกัน อีกทั้งตนยังเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาในด้านอื่น ๆ เช่น ปัญหาที่เป็นปัญหาเรื้อรัง ปัญหาโครงสร้างก็ได้มีการปรึกษาหารือกับเครือข่ายของประชาชนและภาคประชา สังคมในการที่จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของการแก้ปัญหาทางการเมืองนั้น ขอยืนยันว่ามีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการที่จะหาคำตอบทางการเมืองต่อ สถานการณ์ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาทางด้านความมั่นคง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทางออกโดยให้รัฐบาลเร่งผ่านความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และให้รัฐบาลประกาศกำหนดวันยุบสภา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความจริงก็ตรงกันที่ว่าการยุบสภาไม่ควรจะเกิดขึ้นก่อนที่งบประมาณจะผ่าน และเรื่องงบประมาณผ่านก็ไม่ได้เกี่ยวกับการจะใช้งบประมาณ แต่เป็นการทำให้การบริหารงบประมาณเป็นไปตามปฏิทิน เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกันอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนได้เร่งรัดกระบวนการงบประมาณอยู่ ซึ่งเมื่อวานนี้ได้เรียกประชุมสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะจะปรับแผนทั้งหมด ทั้งในเรื่องงบประมาณ ปี 2554 กับพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดไทยเข้มแข็ง ทั้งในส่วนที่ค้างอยู่ในสภาฯ และเงินที่ยังไม่ได้ออกไป ซึ่งทุกอย่างจะหาข้อยุติในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 เมษายนนี้


อ้างการข่าวเสื้อแดงมีอาวุธแน่นอน และ ‘ชุดขาว’ จะมาแทน ‘ชุดดำ’
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้จะจัดลำดับความสำคัญในการแก้ปัญหาของประเทศอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คิดว่าประการแรกคือลดปัญหาความไม่สงบหรือความเดือดร้อนจากประชาชนที่เกิด ขึ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวในภูมิภาคต่างๆ จะอาศัยกฎหมายปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ การเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมจะให้จำกัดอยู่ในพื้นที่ สำหรับการแก้ปัญหาพื้นที่ราชประสงค์นั้นเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากการเตรียมการที่มีทั้งอาวุธปะปนกับเด็กและผู้หญิง และจากการข่าวยืนยันว่ามีอาวุธแน่นอน และกลุ่มคนที่ไม่ใช่เฉพาะที่ตั้งด่าน 6 ด่าน หลังชุดที่ตั้งด่านมีชุดขาวที่จะมาแทนชุดดำ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่เราจะสามารถไปดำเนินการอะไรโดยไม่รัดกุมได้ และหากผู้ชุมนุมยืนยันว่าไม่มีอาวุธ ก็อยากให้มีคณะบุคคลที่เป็นคนกลางเข้าไปตรวจสอบว่ามีอาวุธจริงหรือไม่ เพื่อจะได้สบายใจกันทุกฝ่ายว่าเป็นการเคลื่อนไหวอย่างที่กล่าวอ้างกันจริงๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ารัฐบาลจะไม่มีการสลายการชุมนุม แต่จะเน้นเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ได้พูดว่าจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร เพราะเราต้องการบังคับใช้กฎหมาย และต้องการที่จะคืนความเป็นปกติ เพียงแต่เสียงเรียกร้องของฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งตนคิดว่าขณะนี้สังคมก็แสดงออกชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าปัญหาการเมือง ปัญหาความไม่เป็นธรรมก็แก้ไขกันไป แต่ไม่ใช่การมาเคลื่อนไหวด้วยวิธีนี้ที่ไม่ถูกต้องและมีผสมผสานกับปัญหา เรื่องการก่อการร้าย เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องเดินหน้าทำต่อ เพียงแต่เสียงเรียกร้องที่มาจากคนที่อาจจะเริ่มหมดความอดทน ตนก็เพียงแต่อธิบายให้ทราบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เราต้องระมัดระวังเป็น พิเศษ อย่างมีอาวุธปะปนกับผู้หญิงและเด็ก ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะแยกออกจากกัน

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ผมคิดว่าทุกอย่างมันเป็นการจัดการ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเพราะฉะนั้นแกนนำต้องรับผิดชอบกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และยิ่งเกิดกรณีของนายเมธีที่เขามาพูดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องนั้น มันทำให้ความเชื่อถือในการที่จะพูดคุยมันทำได้ยาก ผมว่าคนก็รับรู้การเคลื่อนไหวร่วมกันมาตลอด ขณะเดียวกันก็เป็นตัวสะท้อนว่าในที่สุดจะไม่มีใครรับผิดชอบใคร ใครทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองหมด และผมคิดว่าการเจรจาแบบที่เคยเห็นที่ศูนย์ราชการนั้นคงยากเพราะสถานะของ บุคคลต่าง ๆ เปลี่ยนไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่หาคำตอบทางการเมือง การหาคำตอบทางการเมืองก็ทำได้โดยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉย” นายกรัฐมนตรีกล่าว


ไม่ยืนยันแก้ปัญหาทางการเมืองก่อนหรือหลังเคลียร์ราชประสงค์
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำตอบทางการเมืองที่จะนำไปสู่การตัดสินใจควรจะเกิดขึ้นหลังจากที่พื้นที่ราช ประสงค์กลับสู่ภาวะปกติแล้วหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงจะไปบอกว่าเกิดหลังเกิดก่อนเกิดพร้อมคงไม่ใช่ เพราะคำตอบทางการเมืองที่ว่าไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรจะต้องเป็นคำตอบซึ่ง ยืนยันหลักของการเป็นนิติรัฐ และการไม่ให้มีการใช้วิธีการของการก่อการร้ายหรือข่มขู่คุกคามที่นำไปสู่ ความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเป็นคำตอบที่เกิดขึ้นแล้วเหตุการณ์มันสงบลงได้ ก็เป็นคำตอบที่ตนคิดว่าสังคมก็คาดหวัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากสถานการณ์คลี่คลาย ประชาชนจะกลับมาใช้ชีวิตปกติอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าขณะนี้เราก็กระชับสถานการณ์ไปโดยลำดับ เพียงแต่ว่าจะไปบอกว่าทันใจหรือถูกใจคนก็คงไม่ใช่ และอย่างที่บอกเจ้าหน้าที่ทุกคนตระหนักดี ว่าทุกคนก็อยากจะเห็นเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างต้องรัดกุม


ไม่ไปตอบกระทู้ในสภาแล้ว เพราะไม่ต้องการทำตัวให้มีสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นกระบวนการทั้งนอกสภาฯ ในสภาฯ รวมทั้งกรณีที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี จะขอเข้าเฝ้าฯ ด้วย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่เรียนว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมด และในวันนี้ตนได้ทำหนังสือเรื่องไม่ไปตอบกระทู้ในสภาฯ เพราะไม่ต้องการให้เป็นตัวที่ทำให้มีสถานการณ์มีปัญหามากขึ้นและไม่ได้หมาย ความว่าไม่สนใจการแก้ปัญหาทางการเมือง แต่ยืนยันว่าได้ติดตามการอภิปรายของส.ส.ฝ่ายค้านอยู่ตลอด และต้องขอขอบคุณที่ไม่มีอะไรลุกลามบานปลาย ตนยังทำงานในส่วนนี้อยู่ แต่ว่าเวทีและรูปแบบต้องเหมาะสม ไม่เป็นตัวที่ไปเติมเชื้อให้เกิดความขัดแย้ง เพราะถ้าไปตอบโต้กันในสภาฯ เวลานี้ ตนคิดว่าต่างฝ่ายต่างก็จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นความจริง และจะเป็นการทำให้เกิดการเผชิญหน้ารุนแรงมากขึ้น


รับเคยขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานจริง แต่ตอนนั้นเป็นความพร้อมใจของทุกฝ่าย
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ชวลิตออกแถลงการณ์ล่าสุดพาดพิงนายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์ว่าเคย ร้องขอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่ตนเคยพูดเรื่องนี้เป็นกรณีที่ตนเสนอว่าเป็นความพร้อมใจของทุกฝ่าย คงต้องไปเทียบเคียงสถานการณ์กัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาถือว่ารัฐบาลพยายามถึงที่สุดหรือยังในการแก้ปัญหา นายกรรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนยืนยันว่ารัฐบาลพยายามแก้ปัญหาแน่นอน เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะไม่ทำ ก็ขอความเห็นใจกับทางผู้ที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาก บางครั้งเราอยากให้มันรวดเร็วหรือจบลงได้ แต่คนทำงานจะทราบข้อจำกัดหลายอย่าง อาจจะไม่สามารถสื่อสารได้ตลอดเวลา แต่ตนยังไม่เห็นสัญญาณอะไรว่าผู้รับผิดชอบเหล่านั้นไม่อยากทำงาน แต่ว่าไล่ลงไปในแต่ละระดับแต่ละกลุ่มอาจจะมีปัญหาบ้างสำหรับการวิพากษ์ วิจารณ์กันเรื่องเกียร์ว่าง


เชื่อสังคมมีปัญหากับการชุมนุมที่ไม่ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาถึงวันนี้นายกรัฐมนตรีมีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหนกับการนำสถานการณ์กลับสู่ ภาวะปกติ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดที่ทำให้ตนมีความมั่นใจคือภูมิคุ้มกัน ที่สังคมให้ ตนคิดว่าขณะนี้สังคมได้ให้คำตอบชัดเจน สังคมไม่ได้มีปัญหากับประชาชนที่มาชุมนุม แต่สังคมมีปัญหากับรูปแบบวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคำตอบทางการเมืองและการแก้ปัญหาต่อไป ถ้าสังคมยืนอยู่บนหลักที่ถูกต้องตรงนี้ คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าจะทำให้สำเร็จได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ว่ากระแสอาจจะตีกลับหากการชุมนุมยืดเยื้อมากไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เราต้องพยายามทำความเข้าใจ ขอย้ำอีกครั้งว่ารับรู้ความรู้สึกร้อนใจของประชาชนโดยทั่วไป แต่ยืนยันว่าเราทำงานกันเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกมาเรียกร้องของคนที่ไม่เลือกสี แต่เลือกความปกติสุขของเขากลับคืนมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราได้ยินเต็มที่และพยายามเต็มที่ แต่เราต้องคำนึงถึงผลทั้งในแง่ความสำเร็จ และความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น


ที่มา: เรียบเรียงจาก
นายกรัฐมนตรีเผยการข่าวรายงานมีกลุ่มคนเสื้อขาวอาวุธครบมือแฝงในกลุ่ม คนเสื้อแดง, ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล, 22 เม.ย. 53 http://media.thaigov.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=471&directory=1779&contents=44075

ศาลแพ่งคุ้มครองการชุมนุมชั่วคราว หากสลายต้องทำตามหลักสากล

เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (22 เม.ย.) นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทยและคณะ ได้เดินทางไปที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นขอให้ศาลพิจารณาสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนตัดสินคดีเพื่อไม่ให้ใช้ กำลังทหารติดอาวุธเข้าสลายการชุมนุม

โดยหลักฐานสำคัญที่นำไปยื่นต่อศาลคือซีดีบันทึกเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ที่มีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเมื่อศาลพิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 ว่าหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณจะกระทำการใดๆ ในการขอพื้นที่คืนหรือสลายการชุมนุมของผู้ร่วมชุมนุมให้ดำเนินการเท่าที่จำ เป็นโดยคำนึงถึงความเหมาะสม มีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล ทั้งนี้จนกว่าจะมีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ขณะที่เมื่อเวลา 21.45 น. นายปณิธาน วัฒนายากรให้สัมภาษณ์ทางเนชั่นทีวีว่าในส่วนของคำสั่งจากศาลแพ่ง เบื้องต้นทาง ศอฉ. จะไปศึกษาข้อกฎหมาย และกล่าวว่าขณะนี้ ศอฉ. มีอำนาจตาม พรก.ฉุกเฉิน

'ณัฐวุฒิ' หวังรัฐยึดหลักสากลหากจะสลาย ย้ำต้องเจรจาและให้เวลา นปช.ตัดสินใจ

22 เมษายน 2553 เวลา 19.30 น. ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แถลงถึงสถานการณ์การชุมนุมที่มีข่าวการสลายการชุมนุมมาอย่างต่อเนื่องว่า ขณะนี้ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงทราบมาว่า จะมีการสลายการชุมนุม โดยจะเป็นปฏิบัติการที่หนักหน่วงและรุนแรง ทาง นปช. จึงขอสงวนสิทธิ์และเรียกร้องให้การสลายเป็นไปตามหลักสากล โดยหากจะบุกเข้ามาสลาย จะต้องมีการเจรจากับตัวแทนคนเสื้อแดง โดยการเจรจาจะต้องเกิดขึ้นในพื้นที่การชุมนุมของคนเสื้อแดง ทั้งนี้ การประกาศทางโทรทัศน์และวิทยุและผ่านสื่อสารมวลชน นปช. นั่นคือการประกาศแต่ฝ่ายเดียว และไม่สามารถถือได้ว่าเป็นการเจรจา แกนนำ นปช. ยังกล่าวด้วยว่า เมื่อมีการเจรจา รัฐบาล กองทัพ และ ศอฉ. จะต้องให้เวลากับผู้ชุมนุมในการปรึกษาหารือและตัดสินใจ

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

วิดีโอคลิป: เสียงสันติภาพ จากถนนสีลม คืนวันที่ 19 เม.ย. 2553

ทีมประชาไททำการสำรวจบรรยากาศ การตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ทหารในย่านถนนสีลม เมื่อวันที่ 19 เม.ย.พบว่ามีประชาชนอย่างน้อย 4 รายที่เดินบอกกับทหารว่าอย่ายิงผู้ชุมนุมเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงก็คือประชาชนคนไทยด้วยกัน ประชาไทเก็บภาพของชายรายหนึ่งขณะที่เขากำลัง "ปฏิบัติการสันติวิธี" ตามแบบฉบับของตัวเอง โดยเขากล่าวกับประชาไทว่า เขาเดินตั้งแต่หัวถนนสีลมมาเรื่อยๆ และตั้งใจจะพูดคุยและบอกกับทหารทุกหน่วยที่เข้าประจำการว่า อย่ายิงประชาชนซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน

ระหว่างการให้สัมภาษณ์นั้น มีผู้ให้ความสนใจและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจนกลายเป็นกลุ่มสนทนา ย่อยๆ ของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังทหารเข้าตรึงพื้นที่เพื่อเตรียม การรับ มือกับผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้มีประชาชนให้ความสนใจหยุดฟัง และเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำการบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไว้เช่นกัน





ที่มา: prachatai.net

คลิป 10 เมษา 53 - คนเสื้อแดงต้านรถถังที่แยกวังแดง-คุรุสภา

วิดีโอคลิปบันทึกเหตุการณ์ช่วงกลางวันวันที่ 10 เมษายน 2553 หลัง ศอฉ. ประกาศ"ขอคืนพื้นที่" โดยผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่หน้าคุรุสภายืนเผชิญหน้ากับทหารที่ใช้รถถังสายพาน ลำเลียง Type-85 และอาวุธสงครามผลักดันผู้ชุมนุม






ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ ศอฉ. ใช้เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมอาวุธสงครามดำเนินการคืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และบริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งเริ่มเมื่อเวลา 13.00 น. โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และให้การติดต่อสื่อสาร การคมนาคมขนส่งกลับสู่สภาวะปกติ และให้เป็นไปตามประกาศของ ศอฉ. ในการควบคุมพื้นที่ ก่อนที่ในช่วงหัวค่ำทหารปะทะผู้ชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ที่ ถ.ดินสอ และสี่แยกคอกวัว ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น

ทั้งนี้ ในช่วง 14.00 น. โดยประมาณที่หน้าคุรุสภา ได้มีผู้ชุมนุมเผชิญหน้ากับทหารที่มาพร้อมกับรถสายพานลำเลียงแบบ Type-85 ติดปืนกลประมาณ 6 คัน และทหารหลายร้อยนายพร้อมโล่และกระบอง มีทหารหลายนายมีอาวุธประจำกายคือปืน M1 การ์แรนด์บรรจุกระสุนยาง แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง ปืนเอ็ม 16 และปืน TAR-21 ต่อมาทหารเข้าผลักดันผู้ชุมนุม ระหว่างการผลักดันกับผู้ชุมนุมมีการยิงแก๊สน้ำตาอย่างน้อย 2 ครั้ง มีการใช้กระสุนยางยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่มีผู้ชุมนุมนั่งพนมมือเผชิญหน้ากับรถถัง

สำหรับเรื่องการใช้รถสายพานลำเลียงนั้น พ.อ.สรรเสริญเคยกล่าวเมื่อ 10 เม.ย. ว่า การเคลื่อนย้ายรถถังสายพานลำเลียงไม่ใช่เป็นการเข้าสลายการชุมนุมหรือมีเหตุ อื่น แต่เป็นการนำรถดังกล่าวไปจอดประจำการที่บริเวณหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษและสโมสรกองทัพบก เนื่องจากเกรงว่าในช่วงเกิดเหตุชุลมุนที่กองทัพภาค 1 กลุ่มคนเสื้อแดงอาจจะเบนเป้าจากกองทัพภาคที่ 1 ไปยังบริเวณหน้าบ้านพักของพล.อ.เปรม ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน เพราะช่วงที่ผ่านมา ในการไปปิดล้อมของกลุ่มคนเสื้อแดงมักใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่บุกเข้าไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารไม่สามารถจะกันได้ จึงต้องใช้รถหุ้มเกราะสายพานลำเลียงไปป้องกันไว้

อย่างไรก็ตามก็ปรากฏว่ามีการนำรถสายพานลำเลียงเข้ามาใช้ในการสลายการ ชุมนุมดังกล่าว


ที่มา: prachatai.net

'อนุพงษ์'ซ้อมแผนใช้กระสุนจริง ลั่นรับผิดชอบทุกนัด 'จตุพร'ปูดแผนปราบใน 7 วันสูญ 500 ชีวิตก็ยอม

19 เม.ย.53  มติชนออนไลน์ รายงานอ้างแหล่งข่าวจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อวันที่ 19 เมษายนว่า ภายหลังการประชุม ศอฉ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ ผู้ช่วย ผอ.ศอฉ. เรียกประชุมนายทหารตั้งแต่ระดับ 5 เสือ ทบ. แม่ทัพภาค ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับการกองพัน รองผู้บังคับการกองพัน และนายทหารระดับฝ่ายเสนาธิการทุกกองพันที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในหลักการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ติดอาวุธเข้าปะปนผู้ชุมนุม หากต้องออกปฏิบัติขอคืนพื้นที่และกรณีเกิดการปะทะกับผู้ชุมนุม โดยเฉพาะกรณีที่ต้องใช้อาวุธปืน เนื่องจากนายทหารระดับสูงเกรงว่าอาวุธทหารยังอยู่ในมือกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งปืนบร้าโว และปืนเอ็ม 16 ดังนั้น หากกลุ่มบุคคลที่ยึดอาวุธทหารไปแล้ว นำมาใช้กับประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ในระหว่างการปฏิบัติงาน อาจทำให้สังคมและประชาชนเกิดความเข้าใจผิดได้
"พล.อ.อนุพงษ์ จึงย้ำกับนายทหารระดับผู้ปฏิบัติทุกนาย การจะใช้อาวุธปืนจริงทำได้ คือการป้องกันตนเองในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และการใช้อาวุธปืนจริงในลักษณะใดเป็นรายบุคคล เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และหากจะใช้อาวุธต้องมีแบบแผนและลักษณะการใช้แบบเดียวกัน" รายงานข่าวระบุ
มีรายงานด้วยว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้ให้ความมั่นใจกับกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยพูดกับนายทหารที่เข้าร่วมประชุมว่า "กระสุนทุกนัดผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขอให้ทุกคนไม่ต้องกลัว หากจะต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง แต่ต้องดำเนินการตามแผนที่ทำความเข้าใจและซักซ้อมกันไว้เช่นนี้"
นอกจากนี้ หน่วยงานด้านการข่าวมีการรายงานว่า พบการเคลื่อนไหวสั่งซื้ออาวุธสงครามอาร์พีจีจากบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา เพื่อนำมาใช้ก่อเหตุร้ายในพื้นที่ กทม. ทำให้นายทหารระดับสูงกังวลงว่า หากใช้กำลังทหารออกปฏิบัติหน้าที่ขอคืนพื้นที่อีกครั้ง กลุ่มบุคคลแฝงที่ติดอาวุธอาจใช้วุธหนักทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนอีก เพื่อให้เกิดความสูญเสีย ดังนั้นการปฏิบัติต้องมีความพร้อมเต็มที่100เปอร์เซนต์
"ณัฐวุฒิ" นำทัพเคลื่อนใหญ่
สำหรับความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เวทีราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 เมษายน เวลา 19.00 น. นายณัฐวุฒิ ขึ้นเวทีกล่าวยืนยันว่า วันที่ 20 เมษายน จะมีชุมนุมใหญ่แน่นอน จะมีประชาชนหลั่งไหลจากต่างจังหวัดจำนวนมาก เพื่อมาขับไล่นายอภิสิทธิ์ให้ยุบสภาที่แยกราชประสงค์ และจะเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ใด หรือเป้าหมายใดจะแจ้งให้ทราบเวลา 10.00 น. และยืนยันว่าแดงทั้งแผ่นดินจะปฏิบัติการทางยุทธวิธีเพื่อเอาชนะแน่นอน
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า จากการหารือกับคณาจารย์ นำโดยนายปริญญา เทวานฤมิตร อาจารย์ธรรมศาสตร์ที่แสดงความห่วงใยสถานการณ์ และมาพบที่หลังเวทีเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยเสนอให้ถอยคนละก้าว ซึ่งแกนนำได้เล่ารายละเอียด พร้อมกับยืนยันว่า ถอยคงไม่ทันแล้ว เพราะเป้าหมายทหารจะฆ่าประชาชนก่อน ได้รับรายงานว่าจะมีการสลายการชุมนุมในเวลาตีสองตีสามในคืนนี้
ย้ำข้อเสนอยุบสภา-เลิกชุมนุม
"จึงทำหน้าที่เป็นตัวแทน นปช.ยื่นข้อเรียกร้องอย่างนักเลงและใจกว้างสุดสุด คือให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา ซึ่งการยุบสภาไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของนายอภิสิทธิ์ หรือชัยชนะของคนเสื้อแดง แต่เป็นการยุบสภาเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อ 23 ชีวิตที่สูญเสียไปในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเสื้อแดงก็ใจกว้างพอจะยุติการชุมนุมและกลับภูมิลำเนาทันที ศึกนี้ไม่ต้องมีผู้แพ้ผู้ชนะ นายอภิสิทธิ์เองก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ ขณะที่ขั้นตอนทางกฎหมายว่า เราเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่ นายอภิสิทธิ์เป็นฆาตกรหรือไม่ ก็ต้องไปต่อสู้กันทางกฎหมายต่อไป ถือว่าเป็นข้อเรียกร้องที่เปิดกว้างตรงไปตรงมา ขณะที่ชัยชนะครั้งเดียวของคนเสื้อแดงที่จะประกาศคือ การโค่นล้มอำมาตย์ ซึ่งต้องดำเนินการต่อไป" นายณัฐวุฒิกล่าว
"ตู่"แฉแผน"อนุพงษ์"7วันจบแดง
ด้านนายจตุพร พรหมพันธ์  ส.ส.สัดส่วน พท. และแกนนำ นปช. กล่าวว่า จากการที่ พล.อ.อนุพงษ์ นัดผู้ใต้บังคับบัญชาประชุมในเวลา 13.00 น.นั้น เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหาว่าเป็นการประชุมเพื่อจัดการกับกลุ่มเสื้อแดง จึงเลื่อนไปเป็นวันที่ 23 เมษายน แต่จริงๆ แล้ว ประชุมไปแล้วเมื่อเวลา 19.00 น.ที่ผ่านมา และทหารแตงโมได้บันทึกการประชุมทั้งหมด 9 ข้อ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1.ให้ทุกอย่างจบภายใน 7 วัน เริ่มนับจากวันที่ 19 เมษายน เป็นเรื่องน่าประหลาดใจว่ากลุ่มพันธมิตรที่ปิดสนามบินแต่กลับไม่มีการดำเนิน คดีใดๆ และยังยื่นเงื่อนไขให้รัฐบาลจัดการเสื้อแดงภายใน 7 วัน ไม่งั้นจะจัดการเอง แต่ พล.อ.อนุพงษ์รับข้อเสนอพันธมิตรมาดำเนินการทันที
"2.กำลังพลที่ใช้ มาจาก พล.ม.2 พล.1 รอ. พล ร.9 และ พล.ร.2 รอ. เป็นกองหนุน 3.ให้พัฒนาแผนทุกวัน โดยประชุม 09.00 น. และ 19.00 น. ของทุกวัน 4.ถอนกำลังทหารออกจากทำเนียบรัฐบาล ให้เหลือ 8 กองร้อย จากเดิม 24 กองร้อย 5.แจกจ่ายปืนลูกซอง กองพลละ 600 กระบอก 6.กระสุนยางกองพลละ 18,000 นัด และกระสุนลูกซองปราย  ซึ่งสามารถฆ่าคนได้ แต่ไม่ทราบจำนวน 7.ขณะนี้ทุกวันให้กำลังพลไปฝึกซ้อมยิงปืนที่กองพันทหารม้าที่ 3 เกียกกาย 8.จัดกำลังพลนายทหาร หรือนายสิบฝีมือดี กองพลละ 20 นาย แต่งกายนอกเครื่องแบบพร้อมปืน เอ็ม 16 เอ 2 หรืออาวุธตามถนัด แฝงตัวเข้าชุมนุมในวันล้อมปราบ 9.ภารกิจนี้ห้ามล้มเหลว กระสุนจริงและระเบิดมีพร้อม" นายจตุพรกล่าว
อ้างสูญเสีย500ชีวิตก็ต้องยอม
นายจตุพรกล่าวว่า ส่วน 4 ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุตามแผน คือ 1.ปิดสื่อทั้งหมด รวมเว็บไซต์ที่เป็นของคนเสื้อแดง ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงสื่อขั้นรุนแรงสุด หลังจากปิดทีวี วิทยุ เว็บไซต์ และล่าสุดจะเป็นการปิดการส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) เพราะได้รับรายงานว่า มีการติดต่อไปยังเอไอเอส ดีแทค และทรู ให้งดบริการส่งข้อความข่าวทางมือถือ ทั้งที่เป็นข่าวของความจริงวันนี้ โลกวันนี้ และดีสเตชั่น ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่เห็นข้อความ แสดงว่าสัญญาณเริ่มปราบกำลังจะเริ่มขึ้น 2.จับแกนนำ หรือทำร้ายแกนนำ ทั้งที่เป็นการจับเป็นและจับตาย 3.สลายผู้ชุมนุม 4.สร้างความชอบธรรมด้วยการออกประกาศทางสื่อทุกชนิด สรุปว่า เป็นการกระทำที่ถูกต้องทุกอย่าง ซึ่งในที่ประชุมมีการพูดว่า สูญเสีย 500 ชีวิตก็ต้องยอม ดังนั้น ในช่วงการชุมนุมของเสื้อแดง 7 วันจากนี้ ถือว่าเป็น 7 วันอันตรายจริงๆ เพราะจะถูกสลายได้ทุกวัน
16 องค์กรคุยแกนนำไม่สำเร็จ
เวลา 18.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.สาลี อ๋องสมหวัง ประธานกลุ่มผู้ไม่เอาสงครามกลางเมือง หนึ่งใน 16 องค์กรภาคประชาชนที่เดินทางเข้ามาพบแกนนำ นปช.ที่ราชประสงค์ เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อ แก้วิกฤติความรุนแรง ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่ง น.ส.สาลีกล่าวภายหลังว่า ในการเจรจาแกนนำมีท่าทีไม่ยอมรับข้อเรียกร้อง พร้อมกับมีข้อเรียกร้องให้กลุ่ม 16 องค์กรไปเจรจาให้รัฐบาลเลิกใช้ความรุนแรงแทน
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำ นปช. กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ผ่านขั้นตอนการยุบหรือไม่ยุบสภาไปแล้ว โดยตั้งแต่ที่รัฐบาลใช้กำลังสลายม็อบเมื่อวันที่ 10 เมษายน ส่งผลให้มีคนตาย ประชาชนรับไม่ได้ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว
"เหวง"ขู่รบ.เจอสงครามทุกจว.
สำหรับช่วงเช้าผู้ชุมนุมจำนวนมากยังคงพักผ่อนอยู่ตามเต๊นท์ต่างๆ ไม่มีท่าทีที่จะเคลื่อนไหวแต่อย่างใด นอกจากนี้กลุ่มเสื้อแดงยังนำเต๊นท์ที่พักมาติดตั้งเพิ่มเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดที่ไปเทศกาลสงกรานต์กลับมาสมทบ ทั้งมีการขึงตาข่ายดำจากเวทีปราศรัยเป็นบริเวณกว้างไปตลอดแนวริมถนนอาคารตึก สูง
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบราวกับว่าคนเสื้อแดงเป็นข้าศึกของประเทศ นี้ ดังนั้น คนที่ยกระดับสงครามครั้งนี้ คือรัฐบาลไม่ใช่คนเสื้อแดง จะยืนหยัดในสันติวิธี จนนาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ขอเตือนว่าถ้ามีการล้อมปราบคนเสื้อแดง รัฐบาลจะเผชิญกับสงครามกลางเมืองในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เปรียบได้กับพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกกดขี่สุดท้ายต้องจับอาวุธขึ้นมาสู้กลายเป็นผู้ก่อ การร้าย
ยื่นยูเอ็นขอกำลังสันติภาพช่วย
นพ.เหวงกล่าวว่า แกนนำ นปช.ยังไม่มีมติเคลื่อนไหวไปยังถนนสีลม เพราะรู้ดีว่ารัฐบาลกำลังใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบ ดังนั้น ไม่มีทางเอาหัวไปโขกกำแพง การเคลื่อนไหวจะเป็นไปด้วยสติปัญญา จะไม่ใช้อารมณ์ หรือใช้ความบ้าเลือดเป็นตัวชี้นำ
ขณะที่นางจารุพรรณ กุลดิลก ตัวแทนกลุ่มคนเสื้อแดง เดินทางไปยังสำนักงานสหประชาชาติ เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อยื่นหนังสือให้ช่วยจัดทีมมาสังเกตการณ์การชุมนุมเพื่อยืนยันว่าชุมนุม โดยปราศจากอาวุธ และไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย พร้อมกับขอให้กองกำลังสันติภาพเข้ามาช่วยรักษาความปลอดภัยด้วย

ชาวเขมรโผล่ป่วนแดงเจอชก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 14.00 น. มีชายฉกรรจ์อายุ 40 ปีเศษ สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยีนสีน้ำเงิน วิ่งข้ามถนนจากหน้าโรงแรมดุสิต ตรงมาที่หน้าสวนลุมพินี ซึ่งมีกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมอยู่ พร้อมทั้งตะโกนด่าทอยั่วยุ ทำให้คนเสื้อแดงวิ่งเข้าใส่จนเกิดการชกต่อยกันอยู่ครู่หนึ่ง ชายดังกล่าวเห็นว่าสู้ไม่ไหว จึงรีบวิ่งถอยมาอยู่เกาะกลางถนน จากนั้นไม่นานวิ่งข้ามกลับไปด่าทอเช่นเดิม เมื่อคนเสื้อแดงวิ่งเข้าใส่ ชายคนดังกล่าวจึงรีบวิ่งหนีเข้าไปในศูนย์เยาวชนลุมพินี ซึ่งมีตำรวจตั้งกองกำลังรักษาการณ์อยู่ คนเสื้อแดงจึงไม่ติดตามเข้าไป
ต่อมาตำรวจค้นตัวชายคนดังกล่าวพบใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ทราบชื่อ นายสมบัติ ยุก อายุ 25 ปี ชาวกัมพูชา อยู่ซอยเปรมสมบัติ ถนนประชาสงเคราะห์ แขวงและเขตดินแดง กทม. จึงประสานตำรวจ สน.ลุมพินี รับตัวไปสอบปากคำ เนื่องจากมีอาการทางจิต พูดจาไม่รู้เรื่อง หากปล่อยตัวเกรงว่าจะถูกกลุ่มคนเสื้อแดงทำร้าย
 
 .............................
ที่มา : มติชนออนไลน์

กองพิสูจน์หลักฐานเผยคลิปซุ่มยิงที่แท้กิ่งไม้ไหว ส่วนทหารยิงปืนใส่ประชาชนจริง

กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยรายงานโต้ ศอฉ. พบคลิปซุ่มยิงที่แท้เป็นกิ่งไม้ไหว ส่วนนักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิตจากกระสุนปืนที่เบื้องต้นพบว่ามาจากฝั่งทหาร ส่วนที่ ศอฉ. อ้างว่าทหารยิงปืนเพื่อคุ้มกันการถอนตัวนั้นพบว่าเป็นการยิงใส่ประชาชนจริงๆ แถมมีการบอกกันเองให้หยุดยิง
เนชั่นทันข่าวรายงานวันนี้ (20 เม.ย.) ว่า กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานผลการตรวจพื้นที่เกิดเหตุบริเวณแยกคอกวัว และอนุสาวรีย์ประชาธิไตย หลังเกิดเหตุการณ์การปะทะระหว่างทหารและกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา สบ.10
ซุ่มยิงจากตึกกองสลากที่แท้กิ่งไม้ไหว
โดยรายงานระบุว่าจากการตรวจสอบจุดบริเวณสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ริมถนนราชดำเนินซึ่งมีการระบุว่าเป็นจุดที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้ใช้ปืนคอย ซุ่มยิงทหารและประชาชนนั้น จากการตรวจสอบว่า บริเวณดังกล่าวไม่พบร่องรอยของเขม่าดินปืน หรือพบปลอกกระสุนตกในที่เกิดเหตุแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนที่มีคลิปเคลื่อนไหวจากการจำลองเหตุการณ์พบว่า เป็นกิ่งไม้ที่ไหวในช่วงกลางคืน ส่วนควันที่เกิดในคลิปสันนิฐานว่าเป็นควันที่เกิดจากกระสุนปืนที่มา โดนบริเวณตัวอาคารลอยขึ้นไป จนทำให้เกิดเหมือนภาพมีคนคอยซุ่มยิงและมีควันคล้ายการยิงปืน
วิถีกระสุนยิงนักข่าวญี่ปุ่นมาจากฝั่งทหาร
นอกจากนี้จากการตรวจสอบคลิปภาพถ่ายต่างๆที่รวบรวมได้กรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวชาวญี่ปุ่นสังกัด สำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า ในช่วงแรกนักข่าวชาวญี่ปุ่นอยู่หลังแนวทหาร แต่เมื่อแนวทหารถอยร่นจากการตอบโต้ของคนเสื้อแดง ปรากฏว่า นักข่าวคนดังกล่าวได้มายืนอยู่ในจุดด้านหน้าของการปะทะระหว่างทหารและกลุ่ม เสื้อแดง และแนววิถีกระสุนคาดว่าน่าจะมาจากฝั่งทหาร

ทหารไม่ยิงเพื่อถอนตัว แต่ยิงใส่ประชาชนจริง
นอกจากนั้นในส่วนของคลิปที่สำนักข่าวฝรั่งเศสระบุว่าทหารยิงปืน แต่ทาง ศอฉ. ระบุว่าเป็นเพียงการคุ้มกันการถอนตัวนั้น จากการตรวจสอบคลิปอย่างต่อเนื่องของกองพิสูจน์หลักฐานพบว่ามีการยิงกระสุน ใส่ประชาชนจริง และในบางช่วงยังมีเสียงทหารด้วยกันบอกให้หยุดยิง และบอกว่าพอแล้ว ซึ่งรายงานทั้งหมด คณะพนักงานสอบสวนได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้แล้ว