วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

วอลล์เปเปอร์เกต


โดยสุรนันทน์ชีวะเวชชา โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ที่มา เสียงกรุงเทพฯ ที่มา Bangkok voice

ก่อน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1972 ซึ่งมีนายริชาร์ดนิกสัน (Richard Nixon) เป็นประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันที่ลงแข่งขันสมัยที่สองได้มีจับกุมผู้ บุกรุกเข้าไปในสำนักงานพรรคเดโมแคตร ในอาคารวอเตอร์เกต (วอเตอร์เกท) ก่อน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1972 ซึ่งมี นายริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) เป็นประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันที่ลงแข่งขันสมัยที่สอง ได้มีจับกุมผู้บุกรุกเข้าไปในสำนักงานพรรคเดโมแครตในอาคารวอเตอร์เกต (Watergate)

และติดตั้งเครื่องดักฟังโดยเบื้องต้นนั้นฝ่ายนายนิสันปฏิเสธการรับรู้ แต่ในที่สุดก็สาวกลับมาถึงผู้ที่เป็นทีมงานใกล้ชิดในขาวทำเนียบ และติดตั้งเครื่องดักฟัง โดยเบื้องต้นนั้นฝ่าย นายนิสัน ปฏิเสธการรับรู้ แต่ในที่สุดก็สาวกลับมาถึงผู้ที่เป็นทีมงานใกล้ชิดในทำเนียบขาว

นาย นิกสันยังยืนกรานว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้เป็นผู้สั่งการจนมีการตั้งคำถามจาก สื่อมวลชนและนักการเมืองในซีกเดโมเครตว่าตัวประธานาธิบดี"รู้อะไร"และ"รู้ เมื่อไหร่"เพราะหากรู้แล้วช่วยปกปิด ย่อมมีส่วนร่วมในการกระทำผิดการกลับกลายเป็นสถานการณ์ที่วิกฤตขึ้นเมื่อค้น พบว่านอกจากนายนิกสันจะรู้แล้วยังเป็นผู้"สั่งการ"ด้วยจนในที่สุดก็ต้องรับ ผิดชอบและลาออกไป นายนิกสัน ยังยืนกรานว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ จนมีการตั้งคำถามจากสื่อมวลชนและนักการเมืองในซีกเดโมเครต ว่าตัวประธานาธิบดี “รู้อะไร” และ “รู้เมื่อไหร่” เพราะหากรู้แล้วช่วยปกปิด ย่อมมีส่วนร่วมในการกระทำผิด การกลับกลายเป็นสถานการณ์ที่วิกฤตขึ้นเมื่อค้นพบว่า นอกจาก นายนิกสัน จะรู้แล้ว ยังเป็นผู้ “สั่งการ” ด้วย จนในที่สุดก็ต้องรับผิดชอบและลาออกไป

ถือ เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักการเมืองทั่วโลกว่าควรและไม่ควรทำอะไรเพื่อรักษา อำนาจเพราะผลสุดท้ายนั้นไม่เพียงเสียหายต่ออนาคตของตนเอง แต่ถึงประเทศชาติด้วยโดยรวม ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักการเมืองทั่วโลก ว่าควรและไม่ควรทำอะไรเพื่อรักษาอำนาจ เพราะผลสุดท้ายนั้น ไม่เพียงเสียหายต่ออนาคตของตนเอง แต่ถึงประเทศชาติโดยรวมด้วย

จริง อยู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปัจจุบันมีความแตกต่างทั้งในสาระและ สภาพแวดล้อม แต่การดำเนินนโยบายต่างๆตลอดจนเกมการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ทำให้ต้องนำคำถาม ชุดที่นายนิกสันถูกถามกลับมาตั้งเป็นปุจฉากับนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะและผู้ที่ทำงานรายล้อมได้ จริงอยู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปัจจุบัน มีความแตกต่างทั้งในสาระและสภาพแวดล้อม แต่การดำเนินนโยบายต่างๆ ตลอดจนเกมการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้ต้องนำคำถามชุดที่ นายนิกสัน ถูกถามกลับมาตั้งเป็นปุจฉากับ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้ที่ทำงานรายล้อมได้

เรื่อง แรกที่ต้องถามคือเหตุการณ์การประท้วงชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงเดือน มีนาคมถึงพฤษภาคมที่ผ่านมาโดยเฉพาะเหตุการณ์"ขอคืนพื้นที่"เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่สี่แยกคอกวัวซึ่งมีการปะทะกันจนมีผู้ เสียชีวิตกว่า 20 คนและเหตุการณ์"กระชับพื้นที่"ช่วงวันที่ 10-19 พฤษภาคมที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีกจำนวนมากไม่นับผู้บาดเจ็บและสูญ หาย เรื่องแรกที่ต้องถาม คือเหตุการณ์การประท้วงชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงเดือนมีนาคมถึง พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่” เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่สี่แยกคอกวัว ซึ่งมีการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 20 คน และเหตุการณ์ “กระชับพื้นที่” ช่วงวันที่ 10-19 พฤษภาคม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก ไม่นับผู้บาดเจ็บและสูญหาย

จน บัดนี้ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นใครเป็นผู้สั่งการใคร ตัดสินใจให้ทหารนำกำลังเข้า"ขอคืนพื้นที่"และ"กระชับพื้นที่"นายกรัฐมนตรี ได้กำชับหรือไม่ว่าต้องไม่ให้มีการสูญเสียหรือให้ท้าย ขยิบตาหรือสั่งการด้วยตนเองทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมากว่า 3 เดือนแล้วยังไม่มีความชัดเจน จนบัดนี้ยังไม่มีใคร สามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นผู้สั่งการ ใครตัดสินใจให้ทหารนำกำลังเข้า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” นายกรัฐมนตรีได้กำชับหรือไม่ว่าต้องไม่ให้มีการสูญเสีย หรือให้ท้ายขยิบตา หรือสั่งการด้วยตนเอง ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมากว่า 3เดือนแล้วยังไม่มีความชัดเจน

มี ใครประเมินให้นายกฯ รับรู้หรือไม่ว่าในแต่ละกรณีแต่ละทางเลือกจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายเท่าไหร่ฝ่าย ทหารได้บอกถึงมาตรการที่จะรักษาชีวิต"หรือไม่และเมื่อมีข่าวการตายของ ประชาชนนายกฯ มีปฏิกิริยา อย่างไรทำไมไม่มีการประเมินใหม่หรือเพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว? มีใครประเมินให้นายกฯรับรู้หรือไม่ว่า ในแต่ละกรณีแต่ละทางเลือก จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายเท่าไหร่ ฝ่ายทหารได้บอกถึงมาตรการที่จะ รักษาชีวิต” หรือไม่ และเมื่อมีข่าวการตายของประชาชน นายกฯมีปฏิกิริยาอย่างไร ทำไมไม่มีการประเมินใหม่ หรือเพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว?

นายกฯ รู้อะไรรู้เมื่อไหร่และตัดสินใจอะไรเป็นสิทธิที่ประชาชนพึงถามผู้นำที่อ้าง ว่ามาโดยวิถีประชาธิปไตยได้เสมอและเขาควรจะได้คำด้วยตอบ นายกฯรู้อะไร รู้เมื่อไหร่ และตัดสินใจอะไร เป็นสิทธิที่ประชาชนพึงถามผู้นำที่อ้างว่ามาโดยวิถีประชาธิปไตยได้เสมอ และเขาควรจะได้คำตอบด้วย

อีกเรื่องที่กำลังเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมคือการเข้าพบนักโทษชื่อดังนายวิคเตอร์บูธของนายศิริโชคโสภาฉายา"วอลเปเปอร์"ของนายกฯ นายอภิสิทธิ์ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งในแง่รูปคดีและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่ง รัฐบาลได้นำพาเข้าไปอยู่ระหว่างเขาควายของสองมหาอำนาจรัสเซียและสหรัฐ อเมริกา อีกเรื่องที่กำลังเป็นข่าวอึกทึกครึกโครม คือการเข้าพบนักโทษชื่อดัง นายวิคเตอร์ บูธ ของ นายศิริโชค โสภา ฉายา “วอลเปเปอร์” ของ นายกฯนายอภิสิทธิ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งในแง่รูปคดี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้นำพาเข้าไปอยู่ระหว่างเขาควายของสองมหาอำนาจ รัสเซีย และ สหรัฐอเมริกา

หลายคนรวมทั้งตัวนายศิริโชคพยายามแก้ตัวว่าความเป็นส.ส. หลายคน รวมทั้งตัว นายศิริโชค พยายามแก้ตัวว่า ความเป็น ส.ส. ทำ ให้นายศิริโชคมีสิทธิเข้าพบนายบูธซึ่งก็อาจจะจริงหากนายศิริโชคไม่ได้เข้าไป โดยอ้างและใช้อำนาจฝ่ายบริหารแทนนายกฯ เพราะหากเป็นเช่นนั้นนายศิริโชคไม่มีอำนาจหน้าที่แน่นอน ทำให้ นายศิริโชค มีสิทธิเข้าพบ นายบูธ ซึ่งก็อาจจะจริง หาก นายศิริโชค ไม่ได้เข้าไปโดยอ้างและใช้อำนาจฝ่ายบริหารแทนนายกฯ เพราะหากเป็นเช่นนั้น นายศิริโชค ไม่มีอำนาจหน้าที่แน่นอน

แต่ ที่เหนือกว่าข้อกฎหมายคือความเหมาะสมและผลกระทบที่ตามมาเพราะนายศิริโชคไม่ อาจปฏิเสธได้ถึงความใกล้ชิดกับนายกฯ คำถามจึงมีว่านายศิริโชคคุยอะไรและต่อรองแลกเปลี่ยนอะไรกันโดยที่ทำไปนั้น ตัดสินใจ ด้วยตนเองหรือไปใครสั่ง แต่ที่เหนือกว่าข้อกฎหมายคือ ความเหมาะสม และผลกระทบที่ตามมา เพราะ นายศิริโชค ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความใกล้ชิดกับนายกฯ คำถามจึงมีว่า นายศิริโชค คุยอะไร และต่อรองแลกเปลี่ยนอะไรกัน โดยที่ทำไปนั้น ตัดสินใจด้วยตนเอง หรือใครสั่งไป

ยิ่ง หากเรื่องที่พูดคุยเป็นไปดังที่นายบูธให้ภรรยามาอ่านคำแถลงนั้นถือเป็นการ ใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายบริหารและกระบวนการยุติธรรมแน่นอนซึ่งสะท้อน ทั้ง"ทัศนคติ"และ"นโยบาย"ของรัฐบาลชุดนี้ที่วิ่งไปเหมือนวิ่งอยู่ในลู่ แข่งทำนองไปข้างหน้าเพื่อไล่ล่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณชินวัตร แต่เพียงถ่ายเดียว ยิ่งหากเรื่องที่พูดคุยเป็นไปดังที่ นายบูธ ให้ภรรยามาอ่านคำแถลงนั้น ถือเป็นการใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายบริหารและกระบวนการยุติธรรมแน่นอน ซึ่งสะท้อนทั้ง “ทัศนคติ” และ “นโยบาย” ของรัฐบาลชุดนี้ ที่วิ่งไปเหมือนวิ่งอยู่ในลู่แข่ง ทำนองไปข้างหน้าเพื่อไล่ล่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงถ่ายเดียว

ภาษา อังกฤษเรียกว่า"Mind Track One"ที่น่าเป็นห่วงคือสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้พร้อมจะ"แลก"เพื่อให้ได้ตัว พ.ต.ท. ทักษิณไม่รู้ว่าไปยื่นหมูยื่นแมวอะไรไว้อีกใครเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อ ไป คงปวดดูหัวน่า ภาษาอังกฤษเรียกว่า “One Track Mind” ที่น่าเป็นห่วงคือสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้พร้อมจะ “แลก” เพื่อให้ได้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้ว่า ไปยื่นหมูยื่นแมวอะไรไว้อีก ใครเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อไปคงปวดหัวน่าดู

และหากปรากฏว่านายกฯ รับรู้ก่อนและวันนี้รู้แล้วยัง"อุ้ม"นายศิริโชคไว้ระวังจะเจอ"วอลเปเปอร์เกต"(Wallpapergate) ครับนะ! และหากปรากฏว่า นายกฯรับรู้ก่อน และวันนี้รู้แล้ว ยัง “อุ้ม” นายศิริโชค ไว้ ระวังจะเจอ “วอลเปเปอร์เกต” (Wallpapergate) นะครับ!!

ที่มา: ไทยอีนิวส์ 

วิสา:ทำไมแดงจึงไม่ตาย



ทำไมแดงจึงไม่ตาย
ทำไมแดงจึงขยายไปทุกหน
แดงมิได้เสริมขยายไปตามคน
แต่แดงคือผลิตผลทางความคิด

ความคิดหนึ่งคือต้องการความเป็นธรรม
...คนต้อยต่ำต้องให้เขาเท่าเทียมสิทธิ์
ความคิดสองคือปากท้องเกี่ยวข้องชีวิต
เศรษฐกิจรากหญ้าสามัญชน

ความคิดสามคือเมตตากรุณา
จากคนเคยศรัทธาอย่างท่วมท้น
เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกินอิทธิพล
เหนือกว่าคนธรรมดาบัญชาการ

พระสยามเทวาธิราช
ต้องไม่ถูกผูกขาดโดยอำมาตย์ทหาร
รายรอบตัวชั่วช้าความสามานย์
อ้างร่มโพธิสมภารคุ้มครองตน

แดงคือคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
นับวันยิ่งขยายออกเป็นดอกผล
เลิกอยู่กับอดีตอันมืดมน
ยืนอยู่กับมวลชนสว่างตา

พึงเข้าใจว่าความคิดมิใช่คน
ความจริงทรงอิทธิพลแห่งคุณค่า
ไม่จำกัดยาวนานกาลเวลา
จนกว่าสัจจารมณ์จักสมปอง


โดย วิสา คัญทัพ
ที่มา face book

บทบรรณาธิการ ฟ้าเดียวกัน: “ราชประสงค์” ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย

นับแต่ทศวรรษ 2490 เป็นต้นมา เมื่อกลุ่มนิยมเจ้าสามารถหวนคืนสู่อำนาจทางการเมืองหลัง สิ้นยุคคณะราษฎร ประวัติศาสตร์แห่งชาติไทยก็ตกอยู่ภายใต้กรอบโครงเรื่องว่าด้วยพระอัจฉริยภาพ ของกษัตริย์ แม้จะถูกรบกวนบ้างจากสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความคิดความอ่านหรือวัฒนธรรมตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นอริราชศัตรูหรือมหาอำนาจต่างชาติ แต่ชาติไทยและความเป็นไทยของเราก็ดำเนินสืบเนื่องมาได้อย่างราบรื่น สงบสุข ภายใต้ร่มพระบารมี ผ่านยุคอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา กระทั่งถึงรัตนโกสินทร์
 
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ชาติไทยและความเป็นไทยก็สามารถปรับตัวได้อย่างสอดคล้อง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นทั้งผู้นำที่พาชาติไปสู่ความทันสมัย เป็นบิดาของประชาธิปไตย เป็นแบบอย่างทางด้านวิทยาศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ กีฬา การลงทุน แม้กระทั่งเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในยุคโลกาภิวัตน์-เสรี นิยมใหม่ ขณะเดียวกัน พ่อของชาติก็เป็นศูนย์รวมจิตใจของมวลชน เป็นผู้นำทางศีลธรรมและการพัฒนาในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับวิกฤตการณ์ทาง เศรษฐกิจสังคม และยังสามารถใช้พระราชอำนาจในการยุติความเลวร้ายทางการเมืองได้อย่างเหมาะสม ตามหลักเอนกนิกรสโมสรสมมติ
 
แน่นอนว่า กรอบโครงเรื่องประวัติศาสตร์ฉบับทางการดังที่ว่ามาก็มิได้ดำรงอยู่อย่างหยุด นิ่ง  มิได้ดำรงสถานะครอบงำได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทว่าต้องต่อสู้-ต่อ รองเพื่อรักษาอำนาจนำอย่างไม่ขาดสาย ทั้งในรูปพิธีกรรม แบบเรียน นิทรรศการ อาคารสถานที่ อนุสาวรีย์ ดนตรี บทเพลง รูปภาพ นวนิยาย วรรณกรรม ละคร ภาพยนตร์ สื่อโฆษณา รายการบันเทิง เครือข่ายสังคมทางอินเทอร์เน็ต และอื่นๆ
 
อย่างไรก็ดี ในอดีต การตรวจสอบ ตั้งคำถาม และท้าทายประวัติศาสตร์นิพนธ์กระแสหลักก็มักจำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงแคบๆ ของปัญญาชนในรั้วมหาวิทยาลัย อาจจะมียกเว้นบ้างในช่วงกระแสสูงของการปฏิวัติสังคมนิยมภายใต้การนำของพรรค คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่ฝ่ายต่อต้านก็ปราชัยไปในท้ายที่สุด เหลือทิ้งไว้แต่เศษซากผลผลิตที่เข้าใจได้ยากและขำไม่ออกในขบวนการมวลชน เหลือง-แดง
 
ทว่าความขัดแย้งทางการเมืองหลังการรัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนับจากเดือนกันยายน 2549 ได้ส่งผลให้สภาพการณ์บางอย่างเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนว่า กระบวนการเปลี่ยนมุมมองทางประวัติศาสตร์กำลังเคลื่อนย้ายฐานที่มั่น จากปัญญาชนกลุ่มเล็กๆ ไปสู่มวลชนเรือนแสนเรือนล้าน ผ่านปฏิบัติการทางการเมืองบนท้องถนน ผ่านวิทยุชุมชน ผ่านจานดาวเทียม ผ่านเวทีพูดคุยเสวนา ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ผ่านแผ่นซีดี ผ่านสภากาแฟ ผ่านคำบอกเล่าของญาติมิตร รวมทั้งผ่านช่องทางการติดต่อสื่อสารความเร็วสูงสมัยใหม่
 
ปรากฏการณ์ที่ภาครัฐขะมักเขม้นกับการ ตรวจสอบ ตรวจจับ เซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสารที่ไม่พึงประสงค์หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ประกอบกับการจัดตั้งขบวนการมวลชนเลี้ยวขวาเพื่อทำหน้าที่ตำรวจทางความคิด ย่อมสะท้อนสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปได้อย่างชัดเจน
 
แต่ความพยายามที่จะแช่แข็งสังคมไทย โดยไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลย ดูจะเป็นเพียงแค่ความฝันเสียแล้ว โดยเฉพาะหลังการล้อมปราบครั้งใหญ่ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานครเมื่อเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่โศกนาฏกรรมจากราชดำเนินสู่ราชประสงค์จะแปรเป็นไฟ การเมืองที่เผาไหม้ทำลายโครงสร้างการเมืองเก่า ความขัดแย้งและการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายปีที่ผ่านมา ได้บ่มเพาะปีศาจสำหรับชนชั้นนำไทยที่มาพร้อมกับความเข้าใจทางสังคม ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ และความหมายทางการเมืองแบบใหม่ขึ้นมาแล้ว
 
เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ 2475 กรณีสวรรคต และ 6 ตุลา ซึ่งไม่มีที่ทางหรืออยู่อย่างอิหลักอิเหลื่อในกรอบโครงประวัติศาสตร์แห่ง ชาติ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ประวัติศาสตร์ “ราชประสงค์” จะท้าทายประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยอย่างถึงรากคู่ขนานไปกับการต่อสู้ระหว่าง ปีศาจเสื้อแดงกับข้อจำกัดทางการเมืองเหนือการเขียนประวัติศาสตร์ไทย
 
ที่มา: ประชาไท

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

สนนท.แถลงการณ์ ไม่สังฆกรรม กก.ปฏิรูป ประนามรัฐจับกุมสองมาตรฐานยืนยันแนวทางคนเสื้อแดง

2 กันยายน 2553 สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย( สนนท.) ออกแถลงการณ์ประกาศจุดยืนทางการเมือง ยันไม่สังฆกรรม กก.ปฏิรูป หยามเป็นแค่คณะปาหี่ ประนามรัฐบาลฆาตกรตีฝีปากปิดบังปัญหา ยืนยันแนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ประกาศพร้อมสู้เคียงข้างตราบวันได้ชัย

แถลงการณ์สมัชชาใหญ่ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) 2553

เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่รัฐบาลได้ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมเรียกร้อง ข้อเสนอที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนคนเสื้อแดง เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกประหัตประหารด้วยกำลัง จากน้ำมือของทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มาจากภาษีของพวกเขาเอง ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรม ยังคงไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบ แม้แต่รัฐบาล ในฐานะที่ควรจะต้องรับผิดชอบมากที่สุด เมื่อมีประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากใจกลางกรุงเทพมหานครก็ตาม รัฐบาลไม่เพียงนิ่งเฉย หากแต่กลับป้ายความผิดให้กับผู้เสียชีวิตอย่างหน้าด้านๆ ให้พวกเขากลายเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้สร้างความเดือดร้อนและ เป็นผู้ทำร้ายประเทศไทย ทั้งๆที่เศรษฐกิจที่ล้มเหลว การเมืองที่เป็นเผด็จการ การทุจริตฉ้อฉลในทุกวงการ ที่เป็นตัวการทำร้ายประเทศไทยอย่างแท้จริงและหนักหน่วงที่สุด ล้วนแต่เป็นฝีมือของรัฐบาลทั้งสิ้น อีกทั้งในเหตุการณ์เมษา-พฤษภาเลือดที่ผ่านมา หลักฐานมากมายระบุชัดว่า กองกำลังฝ่ายรัฐบาลคือผู้ยิงฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มากกว่า 90 ชีวิต ไม่เพียงเท่านั้นรัฐบาลยังคงใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนข่าวสาร สร้างวาทกรรม ตีฝีปากเพื่อเอาภาพลักษณ์บดบังปัญหา ไม่ได้มีความจริงใจที่จะแก้ไขความขัดแย้งใดๆ หยิบยกเอาตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปลอมๆที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงของ ชีวิตประชาชนตามท้องนาและท้องตลาดที่ลำบากยากแค้นแสนเข็ญ มากลบเกลื่อนปัญหาที่ต้องรับผิดชอบ ก็เหมือนใช้ใบบัวมาปิดซากศพของประชาชนเอาไว้ ตอนนี้ครอบครัวญาติพี่น้องของผู้สูญหายและเสียชีวิตยังคงร่ำไห้ได้แต่เก็บ ความเคียดแค้นไว้ในใจรอวันชำระ

และเป็นเวลาสามเดือนกว่า อีกเช่นกันที่ประชาธิปไตยในประเทศไทยดิ่งลงถึงจุดที่ต่ำที่สุดในนประวัติ ศาสตร์ แน่นอนว่าตัวอย่างที่ชัดเจน ก็คือจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่มีจำนวนสูงเกินกว่าในการปราบปรามประชาชนของรัฐบาลเผด็จการในอดีตเสียอีก การเห็นต่างมีอานุภาพร้ายแรงจนสามารถสั่งเป็นสั่งตายคนได้ เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยต้องจดจำไว้ว่าเรามีรัฐบาลเผด็จการทรราชย์ครอง เมือง ที่ใช้อำนาจผ่านกฎหมายพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อทำ ร้ายประชาชนอย่างชอบธรรม นั่นคือรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ได้มองประชาชนผู้เรียกร้องการยุบสภา เป็นเพียงศัตรูที่จะต้องปราบปราม

แม้จะดูเหมือนว่ารัฐบาลได้พยายามแสดงความตั้งใจที่จะคลี่คลายปัญหา และเร่งสร้างภาวะปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นโดยตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ แต่สิ่งที่เรามองเห็นคือการโกหกปลิ้นปล้อน และการผลาญงบประมาณโดยใช่เหตุ เราจะปฏิรูปประเทศได้อย่างไร ในเมื่อญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตยังไม่ได้รับความเป็นธรรม และเสียงของพวกเขายังถูกทำให้แผ่วหายไปในสายลม

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ พวกเรา ในนามของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ จึงขอประกาศจุดยืนต่อจากนี้ที่ไม่ยอมอ่อนข้อต่อเผด็จการ และขอประณามการกระทำของรัฐบาลทรราชย์จอมสร้างภาพ ดังนี้:

1. พวกเราจะไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับคณะกรรมการปฎิรูปฯ คนที่เป็นคู่กรณีย่อมไม่อาจเป็นตัวกลางผู้ไกล่เกลี่ยได้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าคณะกรรมการปฏิรูปฯ ที่ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐบาล ผ่านการทาบทามนายประเวศ วะสี และนายอานันท์ ปันยารชุน นั้น เป็นเพียงคณะเล่นละครปาหี่ตบตาประชาชนเท่านั้น และถึงที่สุดคณะกรรมการที่ว่านี้ ก็ไม่ได้ประกอบขึ้นมาจากประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง การปรองดองบนกองเลือดของผู้เสียชีวิตจะทำไม่ได้ การปรองดองบนความเกลียดชังย่อมไม่นำไปสู่สันติภาพ การที่รัฐบาลเข่นฆ่าประชาชนกลุ่มหนึ่ง แล้วยัดเยียดพวกเขาให้เป็นฝ่ายผิด จากนั้นก็มัดมือชกขอให้ลืมเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ลืมความแค้น แล้วมาเริ่มต้นความสุขกันใหม่ ผู้ที่มีสามัญสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี ย่อมไม่อาจทำใจยอมรับได้

2. พวกเราขอประณามการใช้อำนาจเกินขอบเขตของรัฐบาล แม้ปากจะบอกให้ปรองดอง แต่รัฐก็ยังกุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ กระทำการสองมาตรฐานได้อย่างหน้าไม่อาย ใช้กฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเสรีภาพของประชาชนอย่างไม่สะทกสะท้าน เพื่อสั่งปิดสื่อของฝ่ายตรงข้าม และให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการตีความและจับกุมคนที่เห็นต่างได้อย่าง เต็มที่ ทั้งกรณีของนักเรียนนักศึกษาจังหวัดเชียงรายที่ถูกจับเพราะมาชูป้าย “เราเห็นคนตายที่ราชประสงค์” กรณี บ.ก.ลายจุด ที่ถูกจับเนื่องจากมาผูกผ้าแดงที่แยกราชประสงค์ หรือคุณนที สรวารี ที่ถูกจับเพียงเพราะตะโกนคำว่า “ผมเห็นคนตายที่นี่” ไม่ใช่แต่เพียงเท่านี้ ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ถูกจับกุมด้วยเหตุผลอันไม่เป็นธรรม หากแต่ในขณะช่วงเวลาเดียวกันกับกรณีข้างต้น ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรมาปักหลักชุมนุมหน้าสำนักงานยูเนสโก (UNESCO) หรือพยายามจะบุกทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งก็ตาม รัฐบาลนี้กลับบอกว่าไม่ถือเป็นการสร้างความเดือดร้อน แม้จะอยู่ใต้การบังคับใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์เอง ก็ยังไปร่วมขึ้นเวทีทวงคืนเขาพระวิหารของกลุ่มพันธมิตรอีกด้วย

3. พวกเรายืนยันแนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรายังคงขอยึดแนวทางประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างไม่มี เงื่อนไขใดๆเป็นที่ตั้ง เราจะเชิดชูการต่อสู้ของประชาชนผู้ถูกกดขี่เจตน์จำนงของประชาชนจะต้องได้รับ การตอบสนอง เพราะประชาชนคือเจ้าของประเทศ ไม่ใช่แค่ฟันเฟืองตัวเล็กตัวน้อยที่ตรากตรำทำงานหนักแล้วยังต้องจ่ายภาษีไป ให้กลุ่มอำมาตย์ และรัฐบาลสันดานโจรสูบกินเสวยสุขกันอย่างไร้ประโยชน์ เราจะขอต่อสู้เคียงข้างเจ้าของประเทศตัวจริง นั่นคือ ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ จนกว่าความเท่าเทียมเสมอภาคจะมาถึง

4. พวกเรายืนยันว่าพลังนักศึกษาไม่ได้หายไปไหน ความอยุติธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนั้น นักศึกษาสัมผัสได้ เราเจ็บแค้น และเศร้าโศกเสียใจเช่นกัน แม้ว่าครั้งนี้พวกเราจะรู้ตัวช้า และปล่อยให้พ่อแม่พี่น้องต้องออกแรงก่อน แต่เมื่อพวกเราตื่นขึ้นแล้ว เราจะไม่หลับอีกต่อไป เราขอร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับพ่อแม่พี่น้อง เป็นกำลังใจ เป็นแนวร่วม เป็นความหวัง และเป็นเพื่อนร่วมรบกับปีศาจเผด็จการที่ชั่วร้ายในสมรภูมิแห่งนี้ที่ชื่อว่า ประเทศไทยต่อไปจนได้รับชัยชนะ และท้ายที่สุดแม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่ตัวแทนของนิสิตนักศึกษาทั้งประเทศ แต่พวกเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นตัวแทนของความถูกต้อง

พวกเราเชื่อว่า หัวใจอันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม จิตวิญญาณแห่งเสรีชนที่รักความก้าวหน้า และไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจบาตรใหญ่ใดๆ พวกเขาคือประชาชนผู้ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย และพวกเขาคือคนที่จะหลอมรวมกันเป็นพลังเพื่อจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ บังเกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนอย่างแท้จริง

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยไปสู่สังคมที่ยึด มั่นในหลักการแห่งเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพในท้ายที่สุด

จงร่วมกันเร่งสภาวะประชาธิปไตยเสรีสมบูรณ์!

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)

ที่มา: http://www.siamintelligence.com/announcement-of-student-federation-of-thailand-2010/